ประวัติศาสตร์เสด็จฯวัดบ้านไร่ ‘ร.9’ทรงสนทนา‘หลวงพ่อคูณ’

ประวัติศาสตร์เสด็จฯวัดบ้านไร่ ‘ร.9’ทรงสนทนา‘หลวงพ่อคูณ’

วันประวัติศาสตร์ที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุลงบุษบก เหนือพระอุโบสถ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา

วันที่ 11 ม.ค.2538 พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปวัดบ้านไร่ เพื่อทรงนมัสการหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เมื่อครั้งดำรงพระญาณวิทยาคมเถร และทรงรับเงินบริจาคจากหลวงพ่อคูณ จำนวน 72 ล้านบาท

หมายกำหนดการเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเดินทางไปถึงจังหวัดนครราชสีมา ลงจอด ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนวัดบ้านไร่ จากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระอุโบสถ วัดบ้านไร่ เพื่อทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นหลวงพ่อคูณถวายเงินจำนวน 72 ล้านบาท เนื่องในวาระที่หลวงพ่อคูณมีอายุครบ 6 รอบ เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา กราบทูลนิมนต์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนิมนต์พระเทพสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา (ในขณะนั้น) รวมทั้งพระเถระทรงสมณศักดิ์ ระดับเจ้าคณะจังหวัดในภาคอีสานหลายจังหวัด และเกจิอาจารย์ในจังหวัดนครราชสีมาหลายรูปมาร่วมพิธีด้วย

หลังจากเสร็จพิธี ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน 172 ราย ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายละ 30,000 บาท จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานของที่ระลึก ซึ่งเป็น “พระพุทธรูปยอดธง” เกศแหลม เนื้อทองคำแท้ หนัก 2.4 กรัม ปลุกเสกโดยหลวงพ่อคูณ ก่อนเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ นับแสนคน กระทั่งเวลา 16.30 น. จึงเสด็จฯ กลับ

หลวงพ่อคูณกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ ว่า การที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ วัดบ้านไร่นั้น ยังความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่ออาตมาและประชาชนชาวโคราช พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้เสด็จฯ มาวัดบ้านไร่ทุกพระองค์แล้ว ครั้งนี้ถือว่าสูงสุด

“ดีใจมาก เพราะประชาชนและพสกนิกรตลอดจนคนจำนวนมากมาคอยชมพระบารมีท่าน” หลวงพ่อคูณกล่าว

สำหรับการรับเสด็จ บริเวณพลับพลาที่ประทับ เจ้าหน้าที่ติดผ้าม่านสีเหลือง พร้อมปูพรมสีน้ำตาลอย่างสวยงาม ปรับปรุงทาสีหลังคาพระอุโบสถ กุฏิ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาถวายสักการะล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์ตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ชาวบ้านทุกคนต่างปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่มีโอกาสได้เฝ้าฯ ชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด

ภายหลังเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว หลวงพ่อคูณ เปิดโอกาสให้ประชาชนที่มาในงานเข้านมัสการและรับแจกวัตถุมงคล ท่ามกลางประชาชนหลั่งไหลเข้าไปนมัสการ และรับวัตถุมงคลจากมือของหลวงพ่อคูณอย่างมืดฟ้ามัวดินนานนับชั่วโมง

ก่อนหน้านั้น วันที่ 8 ม.ค. หลวงพ่อคูณ ประกาศบริจาคร่างกาย เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ใช้ศึกษาเป็น “อาจารย์ใหญ่”

หลวงพ่อคูณกล่าวว่า “โลกนี้โลกหน้ามันยังมีมากกว่านี้ อย่างมงายกับทรัพย์สมบัติในชาตินี้อยู่เลย ยามอยู่ให้เขาอาลัย ยามจากไปให้เขาคิดถึง ชาติเสือมันต้องไว้ลาย เกิดเป็นชายยังต้องไว้ชื่อ”

ก่อนถึงวันเสด็จพระราชดำเนิน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และลูกศิษย์สอบถามถึงการใช้ภาษา ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

หลวงพ่อคูณบอกว่า “ไม่ต้องหัดพูดราชาศัพท์ จะใช้ภาษาพระ”

“จะไปยากอะไรไอ้หลาน ก็พูดว่าขอถวายพระพรท่านมหาบพิตร สบายดีหรือ”

“จะพูดอย่างไรท่านก็รู้ดอก”

“และจะพูดว่าอาตมภาพจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ได้ คือพูดอย่างไรท่านก็ไม่ถือ พูดพอให้ท่านเข้าใจก็พอ รับรองรู้จักเอาตัวรอดอยู่แล้ว”

และยังกล่าวด้วยว่า “กูยังไม่เคยพูดสักที แต่ไม่ต้องหัดหรอกไอ้หลาน ถึงเวลามันก็เป็นไปเอง คือท่านเป็นจอมปราชญ์ พูดอย่างไรท่านก็รู้ เรียกท่านว่าคุณโยมอย่างนี้ก็ได้ ท่านสิว่าอะไร ไม่ว่าดอก คนไทยคือกันพูดกันอย่างนี้ก็รู้เรื่องกันแล้ว”