อดเปรี้ยวไว้กินหวาน! พร้อมรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แนะเก็บเงินให้เต็มกระเป๋าไว้ก่อน

ช่วงนี้หันหน้าไปทางไหน มีแต่คนบ่นเรื่องแรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศของตนกันอย่างคึกคัก จนทำให้ผู้ประกอบการใหญ่ กลาง เล็ก โอดครวญกันเป็นทิวแถว

สาเหตุคงอย่างที่ทราบๆ กันว่าเพราะอะไร? ทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้?

แม้ภาครัฐจะออกมาแก้เกมอยู่บ้าง แต่คงจะไม่ทันเสียแล้ว เพราะแรงงานต่างด้าวพวกนี้คิดอย่างเดียวว่าขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน

รอให้พวกคุณเคลียร์เรื่องในประเทศให้เสร็จเสียก่อน ค่อยกลับมาว่ากันใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการของไทยเอง ส่วนหนึ่งก็อยากให้กลับ เพราะเขาคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าปรับในราคาหลักแสนถึง 1 ล้านบาท

แต่บางคนก็ไม่อยากให้กลับประเทศ

เพราะการกลับประเทศของแรงงานต่างด้าว ไม่เพียงทำให้ธุรกิจของเขาเกิดความเสียหาย ยังจะเป็นการเติมความชอกช้ำในใจต่อการทำธุรกิจของเขาให้มากขึ้นด้วย

โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่และกลาง ที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเสียส่วนใหญ่

แต่สำหรับธุรกิจขนาดเล็กอาจพอถูไถไปได้บ้าง แต่กระนั้น ต้องยอมรับความจริงว่าปัจจุบันคนไทยไม่ทำงานอะไรที่ใช้แรงงานอีกต่อไปแล้ว

หนักไม่เอา เบาไม่สู้

ตรงนี้จึงเป็นช่องว่างที่ทำให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานทุกอย่างในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแบกหาม ขายของ ล้างจานชาม เสิร์ฟ และอะไรต่อมิอะไร

จนทำให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้บ้าง

เพราะค่าแรงบ้านเราสูงกว่าบ้านเขาหลายเท่าตัว

ผมเคยถามพวกเขาว่าไม่คิดอยากกลับประเทศบ้างหรือ แรงงานพม่าคนหนึ่ง ขายข้าวหมูแดงแถวหน้าธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า…อยู่ที่นี่สบายกว่า

เงินดีกว่า

คุณภาพชีวิตก็ดีกว่า

ตอนนี้ยังไม่อยากกลับ ต้องรอให้มีเงินเก็บสักก้อน ค่อยมาว่ากันอีกที

ขณะที่เด็กเสิร์ฟชาวเวียดนามคนหนึ่ง ทำงานร้านอาหารแถวประชาชื่นก็ตอบในความหมายคล้ายๆ กันว่า…คนไทยไม่อยากทำงานแบบนี้แล้ว จึงเป็นโอกาสของพวกเราที่มาทำงานที่นี่

ไม่เพียงเงินจะดี

ยังมีข้าวกิน

มีทิปที่ลูกค้าให้อีก

แถมยังมีเงินเก็บออมส่งให้ที่บ้านอีกด้วย

ฉะนั้น จะเห็นว่าตัวอย่างของแรงงานต่างด้าวทั้ง 2 คนที่ตอบคำถามผม ในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานที่เมืองไทย แทบไม่มีสักรายบ่นว่าทำงานเมืองไทยไม่ดี

เพราะเขารู้ดีว่าทำงานที่บ้านเขาผลตอบแทนเป็นอย่างไร

คุณภาพชีวิตแตกต่างกันขนาดไหน

แต่ที่ทำให้เป็นปัญหาจุกอกคือการเข้าออกของแรงงานเหล่านี้ล้วนผิดกฎหมายทั้งสิ้น โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ประมง บริการ และอื่นๆ

ดังนั้น พอภาครัฐออกมาตรการในการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ประกอบการหลายรายจึงรู้ดีว่าเขาจะต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

และถ้าไม่จ่ายจะต้องถูกปรับในอัตราไหนบ้าง

เขาจึงลอยแพแรงงานต่างด้าวเหล่านั้น

ในทางเดียวกัน แรงงานต่างด้าวก็รู้ดีเช่นกัน เพราะถ้าเขาขืนอยู่ต่อ เขาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง เงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานตลอดหลายเดือน และหลายปีผ่านมา ยังไม่เพียงพอเลยต่อการจ่ายให้ภาครัฐ

ที่สุดจึงเลือกกลับบ้านก่อนดีกว่า

โอกาสหน้าฟ้าใหม่ค่อยมาว่ากันอีกที

ในแง่หนึ่งผมคิดว่าการจัดระเบียบขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะบ้านเราปล่อยปละละเลยมายาวนาน ปล่อยให้ขบวนการนายหน้าเอาผลประโยชน์ใส่ตัวมานานหลายสิบปี

ขณะเดียวกัน เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายในชาติของเราด้วย เพราะถ้าขืนปล่อยให้แรงงานเหล่านี้เข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย พอเกิดเหตุที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และชีวิตของคนไทย คนเหล่านี้จะลอยนวลหนีเข้าประเทศของเขา โดยที่กฎหมายไทยทำอะไรไม่ได้เลย

แต่กระนั้น ต้องยอมรับความจริงว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมบางประเภท หรือธุรกิจขนาดย่อมบางประเภทแรงงานไทยของเราไม่ทำแล้วจริงๆ

เขาจึงต้องจ้างแรงงานต่างด้าว

เพราะคนเหล่านี้เข้ามาเพื่อทำงาน

เข้ามาเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว พวกเขาจึงไม่เกี่ยงงอนว่าเขาจะต้องทำงานอะไร ขอให้ได้เงิน มีที่อยู่หลับนอน มีข้าวกิน และมีเงินเดือนเลี้ยงปากท้อง เขาก็พร้อมที่จะทำงานทุกอย่าง

ดังนั้น คนเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนแรงงานคู่กายของผู้ประกอบธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อมที่มีลูกน้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

พอพวกเขากลับบ้านไป จึงกระเทือนทันที

ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ทุกคนต่างทราบดีว่ามีแต่คนขายของ แต่แทบไม่มีคนซื้อเลย ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจฐานรากกลายเป็นอัมพาตแบบนี้ จึงเป็นอาการที่น่าห่วงอย่างมาก

และไม่เฉพาะแต่พ่อค้าแม่ขายเท่านั้น

มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ก็เช่นกัน

ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้จึงต้องพยายามประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย อะไรที่เห็นแล้วว่าจะเป็นหนี้ในอนาคต ก็พยายามอดเปรี้ยวไว้กินหวานจะดีกว่า

อย่าเพิ่งพยายามไปลงทุนอะไรเลย

เก็บหอมรอมริบเงินให้อยู่เต็มกระเป๋าไว้ก่อน

เพื่อรอดูว่าในอนาคต หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจค่อยๆ โงหัวขึ้น จึงค่อยมาว่ากันอีกที โดยเฉพาะกับคนที่ทำมาค้าขายทั้งในโลกเสมือนจริงและโลกออนไลน์

ค่อยๆ ดูจังหวะกันไปนะครับ

อย่าเพิ่งรีบร้อน

ไม่เช่นนั้นจะหาว่าไม่เตือน?