แนะเทคนิคละเอียด ก่อนตัดสินใจลงทุน “ธุรกิจสินค้าญี่ปุ่นมือสอง”

เรื่องของดอกเบี้ยเงินฝาก ที่นับวันจะลดน้อยถอยลงจนแทบจะติดลบ  ย่อมเป็นปัจจัยส่งผลให้ใครที่พอจะมีทุนอยู่ในมืออาจกำลังมองหาธุรกิจสักอย่างทำ เพราะน่าจะดีกว่ากำเงินไว้เฉยๆโดยไม่มีโอกาสงอกเงย

แต่อย่างที่รู้กัน ทุกวันนี้เศรษฐกิจภาพรวมนั้นสุดแสนจะซบเซา หันซ้าย แลขวา ถ้าจะหาร้านที่ขายดิบขายดีได้คงยากเต็มที   ฉะนั้นถ้ามีธุรกิจอะไร ที่เสนอตัวเข้ามาในตลาด พร้อมประกาศชัด “คืนทุนเร็ว ความเสี่ยงต่ำ สินค้าไม่มีเอาท์ แถมไม่เน่าไม่เสีย”  คงเป็นตัวเลือกชั้นดี สำหรับผู้ที่กำลังอยากลงทุนในยามนี้

 

คุณไผ่-ชาคริต ภูษิต อายุสามสิบเศษ เจ้าของธุรกิจขายปลีก-ส่ง สินค้าญี่ปุ่นมือสอง แบรนด์ “เนโกะ” ซึ่งมีหน้าร้านอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึง 2 สาขา คือ ผู้ยืนยันว่า ธุรกิจในแบบของเขานั้น สามารถคืนทุนได้เร็วแถมมีความเสี่ยงต่ำอีกด้วย

ก่อนย้อนความเป็นมาส่วนตัวใหรู้จัก พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี-โท ทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ก่อนหน้านี้เคยทำงานประจำทางสายไอทีมาตลอด

เป็นมนุษย์ออฟฟิศอยู่พักใหญ่ รู้สึกการงานไม่ตอบโจทย์ชีวิตอย่างที่อยากได้ เลยตัดสินใจลาออก แต่บอกตรงๆยังไม่รู้จะทำอาชีพอะไรต่อ พอมีโอกาสไปเจอร้านขายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง จึงลองเข้าไปถามไถ่ ก่อนตัดสินใจรับจักรยานมาขายต่อที่จังหวัดสุราษฎร์ฯซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวแฟน เพราะช่วง 2—3 ปี ก่อนหน้านี้ กระแสจักรยานกำลังได้รับความนิยมมาก

คุณไผ่ เล่าต่อ กิจการค้าขายจักรยานญี่ปุ่นมือสองของเขา ดำเนินไปด้วยดี เริ่มนำสินค้าประเภทอื่นมาใส่ร้านเพิ่มเติม ปรากฎผลตอบรับดียิ่งขึ้น เกิดความคิดอยากติดต่อกับซัพพลายเออร์ที่ประเทศญี่ปุ่นโดยตรง เลยตัดสินใจลงทุนบินไปหาด้วยตัวเอง ก่อนทำสัญญาตกลงกันให้ซัพพลายเออร์นั้นเป็น “คนหาของ”ให้ก่อนส่งมายังประเทศไทยถึงเขาโดยตรง

ส่วนสินค้าที่ขอให้ซัพพลายเออร์คัดเลือกก่อนส่งมานั้น ส่วนใหญ่เป็นประเภทของใช้ในบ้าน พวกถ้วย-จาน-ชาม ของแต่งบ้าน ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า รองเท้า ที่มีสภาพดี 80-90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยธรรมชาติของคนญี่ปุ่นมักใช้ของทุกอย่างไม่นาน อย่าง รถยนต์อายุการใช้งาน 5 ปีทิ้งเลย นอกจากนี้ ยังชอบอิงแฟชั่น ถ้าสินค้าแฟชั่นแบบไหน “เอาท์”แล้ว จะเปลี่ยนใหม่ทันที

เมื่อคนญี่ปุ่นมีนิสัย “ชอบเปลี่ยน” ของเก่าทั้งหลาย จึงถูกกำจัดด้วย 2 วิธี คือ หนึ่ง ของชิ้นเล็ก มีราคา จะถูกนำไปจำหน่ายต่อให้คนรับซื้อของเก่า และ สอง ของประเภทที่ขายต่อไม่ได้ ชิ้นใหญ่เกินไป อย่างเฟอร์นิเจอร์ จะถูกนำไปจ้างบริษัทรับกำจัดขยะนำไปทิ้งให้ คนญี่ปุ่น ไม่สามารถนำของที่ไม่อยากได้แล้ว ไปวางทิ้งหน้าบ้านหรือแอบทิ้งข้างถนนเหมือนเมืองไทย

ฉะนั้นของที่ถูกส่งมาขายในบ้านเราส่วนใหญ่จึงเป็นของที่ยังใช้ได้ สภาพดี ที่ซัพพลายเออร์ไปรับซื้อมาจากการโละทั้งสองวิธีจากชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ

เจ้าของกิจการ “เนโกะ” เล่าต่อ หลังจากที่ดำเนินกิจการในร้านตัวเองได้พักใหญ่ จึงเกิดความคิดขยายธุรกิจ ด้วยการ “ขายส่ง”สินค้าญี่ปุ่นมือสองให้กับผู้สนใจนำไปเปิดร้านตามทำเลต่างๆ โดยเปิดรับตัวแทนละหนึ่งจังหวัดเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาการขายตัดราคากัน แต่หากทำเลใดเป็นญาติหรือเพื่อนกัน อยากมีมากกว่าหนึ่งร้านในจังหวัดเดียว อาจอนุโลมให้ได้

โดยเขาจะนำรายการสินค้าที่ซัพพลายเออร์จากญี่ปุ่นส่งมา ไปเสนอให้กับลูกค้ากลุ่ม “ซื้อส่ง” พิจารณา หากสนใจ ค่อยวางมัดจำตามแต่จะตกลงกัน พอตู้คอนเทนเนอร์เดินทางมาถึงท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี หัวลากจะลากตู้สินค้านั้นไปส่งให้กับลูกค้าเพื่อทำการเปิดการขายได้ทันที

“เนโกะ ไม่ใช่แฟรนไชส์ แต่ช่วยให้คำปรึกษาด้านการขายให้จนกว่าจะปล่อยให้ทำเองได้ เพราะธุรกิจนี้ความยากอยู่ที่การตั้งราคา จะขายยังไงให้ได้กำไรมากน้อย ราคาไม่แพงหรือถูกเกินไป เนื่องจากลูกค้าซื้อส่งส่วนใหญ่ จะไม่รู้ต้นทุนของแต่ละชิ้น สมมติ สินค้าหนึ่งตู้ ราคา 500,000 บาท มีของ 100 รายการ คุณจะไม่รู้เลยว่าต้นทุนของแต่ละชิ้นนั้นมันเท่าไหร่”คุณไผ่ ว่าอย่างนั้น

เกี่ยวกับรายละเอียดอื่นๆสำหรับผู้สนใจอยากลงทุน คุณไผ่ อธิบาย ราคาสินค้ารวมภาษีทุกขั้นตอน หนึ่งตู้คอนเทนเนอร์ ราคาอยู่ที่ 400,000 – 600,000 บาท แต่ยังไม่รวมค่าหัวลากจากท่าเรือแหลมฉบัง ไปยังหน้าร้านของลูกค้า โดยจะคิดตามระยะทางตามจริง  ปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่ม “ซื้อส่ง” กับเนโกะ กว่ายี่สิบจังหวัดแล้ว

นอจากเงินลงทุนค่าสินค้าและเงินทุนหมุนเวียนอีกราว 2 แสนบาทแล้ว ทำเล ก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสินค้ามีจำนวนมาก น้ำหนักรวมไม่ต่ำกว่าตู้ละ 5 ตัน ฉะนั้นพื้นที่ในการเปิดหน้าร้าน ต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 150 ตารางเมตร  มีพื้นที่ให้จอดรถลงของ และควรพื้นที่จอดรถสำหรับลูกค้าซื้อปลีกด้วย

ส่วนตัวอาคารของร้านขายควรเป็นแบบชั้นเดียว เปิดโล่ง ไม่ต้องติดแอร์ เพราะถ้าติดแอร์อาจทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าสินค้าที่ขายอยู่นั้นมีราคาแพง

“ผมจะเดินทางไปช่วยทำรายการ กำหนดราคา แนะนำเทคนิคต่างๆให้ลูกค้าที่ลงตู้แรกทุกคน คนอยากทำธุรกิจนี้ ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก เน้นที่ความชอบ ใจรัก มีเงินทุน คนที่พูดถึงมือของสองแล้ว ร้อง โอ๊ย! สกปรก ฝุ่นเยอะ กลุ่มนี้ไม่เหมาะจะมาทำ”คุณไผ่ ว่าอย่างนั้น

ก่อนบอกอีกว่า  กลุ่มลูกค้าซื้อส่ง โดยเฉลี่ยแล้วลงสินค้าเดือนละหนึ่งตู้ แต่ “จุดคืนทุน” น่าจะอยู่ที่การลงทุนประมาณ 3-4 ตู้

ส่วนผลกำไรที่ได้ ซึ่งทำให้ธุรกิจนี้คืนทุนเร็วและมีความเสียงต่ำนั้น คุณไผ่ อธิบาย ของมือสองบางชิ้นกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ หรืออย่างต่ำ 30-50 เปอร์เซ็นต์ บางชิ้นซื้อมาร้อยขายได้พัน เพราะของมือสองไม่มีราคาตายตัว ราคาจึงขึ้นกับความต้องการของลูกค้า

“ตุ๊กตาญี่ปุ่น  หลายคนให้ฟรีไม่เอา แต่สำหรับบางคนเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น อยากได้ไปแต่งร้าน แต่ของใหม่แพงมาก ตัวนึงเป็นพัน พอเห็นเราขายร้อยเดียว รีบคว้าเลย”คุณไผ่ บอก

ก่อนฝากไว้ว่า  “ตู้ขยะ” เป็นคำน่ากลัวของคนอยากทำธุรกิจนี้ บางคนลงทุนไปหลายแสนด้วยเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต กลับได้แต่สินค้าที่ขายต่อไม่ได้ การเน้นซื้อมาแบบราคาถูกอย่างเดียว เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องพึงระวัง

“ทาง เนโกะ ยึดหลักในการทำธุรกิจ คือ  ดูแลสินค้าให้ดี นำเข้าของที่มั่นใจว่าลูกค้าจะนำไปทำกำไรต่อได้  ของแต่ละชิ้นตรงกับความต้องการจริงๆ เพื่อไม่ให้คนญี่ปุ่นมองว่าบ้านเราเป็นที่ทิ้งขยะ”คุณไผ่ ทิ้งท้ายอย่างนั้น

สนในธุรกิจสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ลองขอคำปรึกษาไปได้ที่ “เนโกะ” โทรศัพท์ 089-443-7763 ,094-559-2858 Line : @nekojapan หรือ Facebook/เนโกะ สินค้าญี่ปุ่นมือสอง