เทรนด์ทำเกษตรคนรุ่นใหม่ และวัยเกษียณ ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำอย่างไรจึงจะผ่านด่านหิน?

พักนี้เดินทางไปไหนมีแต่คนถามว่า…เกษียณอายุแล้วจะไปทำอะไร?

ผมก็ตอบไปว่า…อยู่เฉยๆ

เขาจึงถามต่อว่า…มีเงินมากมาย ขนาดอยู่เฉยๆ ได้เลยหรือ?

ผมจึงตอบสวนไปว่า…ไม่มากหรอก เพียงแต่พออายุมากขึ้น เราคงไม่ต้องใช้จ่ายอะไรมากนักหรอก เพราะระหว่างทางจากวัยหนุ่มถึงวัยเกษียณเราผ่านมาหมดแล้ว

กินของดีๆ ก็มากแล้ว

ใช้ของดีๆ ก็พอสมควร

เดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศก็หลายแสนกิโลเมตรแล้ว ฉะนั้น ถ้าจะต้องใช้เงินจริงๆ ในช่วงเกษียณอายุ คงเป็นเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวนี่แหละ เพราะยังชอบแบบนี้อยู่

ยังชอบเดินทางไปในที่ต่างๆ

และมีความสุขทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทาง

เพียงแต่คงจะเลือกระยะทางที่สั้นลง คงไม่อยากไปยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาแบบสมัยหนุ่มๆ แล้ว ที่ต้องนั่งเครื่องบินเป็นวันๆ เพื่อไปทำงานเพียงไม่กี่วัน

ผมบอกเขา (เพื่อน) ว่า…ดำเนินชีวิตง่ายๆ เราก็พบความสุข

จากนั้นผมก็อธิบายให้เขาฟังเพิ่มเติมว่า…จริงๆ แล้วเราควรวางแผนชีวิตก่อนเกษียณ และควรรู้ด้วยว่าเมื่อเกษียณแล้วจะทำอะไร

เพียงแต่สิ่งที่คุณถาม และสิ่งที่คุณอยากได้คำตอบขณะนั้น ผมคิดแค่นั้นจริงๆ

แต่ในความเป็นจริงที่ผมไม่ได้บอกเขาคือผมวางแผนเกษียณอายุงานมาตั้งแต่ตอนอายุ 30 กว่าๆ แล้ว เพราะครอบครัวของผมมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งแถวท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

แถวนั้นนอกจากจะปลูกกล้วยน้ำว้า ยังปลูกมะนาวแป้นอันโด่งดังของจังหวัดเพชรบุรีด้วย ผมเลือกวางแผนที่จะปลูกกล้วยน้ำว้าก่อน เพราะกล้วยจะให้ผลผลิตเร็ว ไม่กี่เดือนคนที่เขารับซื้อก็จะเข้ามาตัดกล้วยเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เขาตัดเสร็จ เราก็ได้เงินมาก้อนหนึ่ง

พร้อมกันนั้น เราก็ปลูกมะนาวไปด้วย ซึ่งกว่ามะนาวจะให้ผลผลิตต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี และระหว่างที่ต้นมะนาวกำลังเจริญเติบโต กล้วยที่เราปลูกก็เจริญเติบโตงอกงามไปด้วย จนกลายเป็นร่มเงาปกคลุมให้กับมะนาวโดยปริยาย

เราแค่ติดตั้งท่อสปริงเกลอร์ไว้รอบๆ แปลงมะนาว พอเช้า และเย็น เราก็แค่เปิดท่อสปริงเกลอร์ น้ำก็จะหมุนรอบๆ แปลงมะนาวจนชุ่มฉ่ำ

ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีผมก็ทำอยู่อย่างนี้

โดยจ้างคนสวนที่มาจากทางอีสานให้ช่วยดูแล เราเองเดือนหนึ่งถึงลงไปที แต่ตอนหลังเริ่มจ้างหลานของเราให้เข้าไปช่วยดูแลอย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น

เพราะพอถึงหน้ามะนาว คนที่เราเคยเห็นว่าซื่อๆ ก็กลับกลายเป็นคนฉลาดขึ้นมาได้ เพราะเขาเห็นราคามะนาวมันแพงตั้งแต่อยู่บนต้น จึงทำให้ความซื่อสัตย์หายไป จนกลายเป็นคนโกงขึ้นมา

แรกๆ เราก็ไม่อยากเชื่อคำพูดหลาน

แต่พอเขาบอกบ่อยครั้งขึ้น เราก็เริ่มมองเห็นแสงของความโลภลอดผ่านความจริงเข้ามา จนทำให้เราประจักษ์ชัดทันทีว่า…เห็นทีคงต้องทางใครทางมันแล้ว

แต่เราทำเองก็ยังไม่ได้

ครั้นจะให้หลานทำทั้งหมด เขาก็ยังไม่มีความชำนาญมากพอ จนตอนหลังก็ต้องกลับไปใช้วิธีเดิม ด้วยการหาคนงานใหม่

แต่ทุกอย่างก็ยังซ้ำรอยเดิมอยู่

จนที่สุดเมื่อรอบอายุของมะนาวผ่านพ้นเข้าสู่ช่วงปีที่ 10 อันเป็นช่วงสุดท้ายของวงจรชีวิต เราจึงเปลี่ยนจากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เป็นการชำกิ่งมะนาวขาย

ตกกิ่งละ 25-30 บาท

ไร่หนึ่งมีหลายสิบต้น และต้นหนึ่งก็สามารถตอนกิ่งมะนาวขายได้หลายกิ่ง ตรงนี้จึงกลายเป็นเงินเก็บส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะนำแปลงมะนาวทั้งหมดไปให้คนอื่นเช่าแทน

สบายใจกว่าเยอะ

จนทุกวันนี้เราก็ยังให้เขาเช่าทำกินอยู่

ผมถึงเข้าใจว่าการทำอาชีพเกษตรกรรมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนเมืองที่อยากจะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ยิ่งถ้าเราทำไม่เป็น และต้องพึ่งพามือเท้าจากคนอื่น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ…ยาก

ต้องลงไปคลุกคลีจริงๆ

และใช้การบริหารจัดการแบบคนเมืองเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด อาจจะทำให้เราลืมตาอ้าปากได้ แต่อย่างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่หมู

ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

และประสบความสำเร็จทุกคน

ต้องหาประสบการณ์มากมายพอสมควร ถึงจะทำให้การประกอบอาชีพเกษตรกรรมน่าถวิลหา ฉะนั้น ที่เราเห็นคนรุ่นใหม่ทำงานหาเงินเก็บอยู่ในเมืองหลวงสักระยะ ก่อนที่จะผันตัวเองไปเป็นเกษตรกร

ไปทำเกษตรอินทรีย์

ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

หรือทำไร่ ทำสวนปลอดสารพิษ

มีส่วนน้อยในจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ นอกนั้นนับคนได้เลยว่าจะผ่านด่านหินมาได้สักกี่คน ผมถึงเชื่อว่าเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ หรือคนวัยเกษียณที่อยากจะออกไปเป็นเกษตรกรนั้นมีจำนวนมากจริงๆ

แต่ในจำนวนเหล่านั้นมีน้อยรายที่ลืมตาอ้าปาก

มีน้อยรายที่จะอยู่รอด

และออกมาบอกกล่าวให้สัมภาษณ์ใครต่อใครว่าเขาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ เขาใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข เพราะแค่ปลูกผักกิน เหลือเก็บขาย ก็ทำให้เขามีรายได้หลายหมื่นบาทถึงหลายแสนบาทต่อเดือนแล้ว

ในชีวิตจริงมีไม่กี่คนหรอก

ผมจึงพยายามไม่ดิ้นรนอะไรมาก

ดังนั้น พอใครถามว่าเกษียณอายุแล้วจะไปทำอะไร ผมจึงตอบว่าอยู่เฉยๆ

อยู่เฉยๆ เพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายให้มีความสุข

เพราะถึงตอนนั้นทุกอย่างคงไม่ต้องใช้เงินอะไรมากมายแล้ว เพราะบ้าน รถยนต์ก็ไม่มีภาระแล้ว ลูกเต้าก็คงจบมีงานทำเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันต่อไป

เราแค่อยู่เฉยๆ

อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือไม่ก็เขียนหนังสือบ้าง เท่านี้ชีวิตก็สุขสงบแล้ว หรือถ้าอยากจะให้ชีวิตมีสีสันเพิ่มขึ้นก็เดินทางไปเที่ยวในสถานที่ที่อยากไปบ้าง

ไปจิบเบียร์กับเพื่อนฝูงบ้าง

หรือไม่ก็เอาวิชาความรู้ที่มีมาทั้งหมดในชีวิตไปสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้บ้าน ผมว่าแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย

ตอนนี้ผมคิดเท่านี้จริงๆ

เป็นปรัชญาชีวิตง่ายๆ ของคนที่อยู่ในช่วงมัชฌิมวัย

เลียนแบบได้นะครับ (ฮา)