เผยแพร่ |
---|
ยูโอบี ประกาศผลกำไรหลักสุทธิ[1] ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18
สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
จากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างรายรับและรายจ่ายอย่างเห็นได้ชัด และคุณภาพของสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่น
การซื้อกิจการซิตี้กรุ๊ปแสดงผลลัพธ์เชิงบวก เงินปันผลประจำปีที่เสนอเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 อยู่ที่ 75 เซ็นต์ต่อหุ้น
สิงคโปร์, 10 มีนาคม 2566 – กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรจากธุรกิจหลักสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และหากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดจากการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซียและไทย กำไรสุทธิจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
กำไรที่สูงและสถานะดำรงเงินทุนส่งผลให้คณะกรรมการเสนอจ่ายเงินปันผลประจำปีที่ 75 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่ 60 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ จะทำให้เงินปันผลทั้งหมดสำหรับปี 2565 อยู่ที่ 1.35 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินตอบแทนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 49
การซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซียและไทยเสร็จสิ้นลงแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2565 ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามคาดว่าจะเสร็จสิ้นลงในปี 2566 การซื้อกิจการครั้งสำคัญนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ยุทธศาสตร์อาเซียนของกลุ่มธนาคารและช่วยขยายแฟรนไชส์ลูกค้ารายย่อยอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมข้อเสนอผลิตภัณฑ์และโอกาสในการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หลักที่เพิ่มขึ้น ฐานลูกค้ารายย่อยของกลุ่มธนาคารขยายตัวเพิ่มขึ้นจนเกือบแตะ 7 ล้านรายในภูมิภาค ในขณะที่รายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการน่าจะเห็นผลในทางเชิงบวก
ในปี 2565 กำไรจากการดำเนินงานหลักของกลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายที่เห็นได้ชัดในทุกกลุ่มลูกค้าและทุกภูมิภาคในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 31 อยู่ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยสินเชื่อขยายตัวขึ้นร้อยละ 3 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น 30 จุด
รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิยังคงไม่ปรับตัวขึ้น เนื่องจากตลาดที่ยังคงอ่อนไหวที่มีผลต่อการบริหารจัดการความมั่งคั่งและกิจกรรมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ แต่ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่เติบโตในอัตราเลข 2 หลักก็ช่วยชดเชยการลดลงนี้ได้บางส่วน คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงอยู่ในเชิงบวก ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.6
รายได้จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ (Wholesale Banking) เติบโตขึ้นร้อยละ 23 อยู่ที่ 6.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะที่รายได้ข้ามพรมแดนปรับตัวขึ้นร้อยละ 12 การให้บริการธุรกรรมธนาคาร (Transaction Banking) ขยายตัวคิดเป็นร้อยละ 35 ของรายได้จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ การปรับตัวดีขึ้นของเงินฝาก ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงส่งให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายเติบโตขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยธุรกิจสินเชื่อที่เติบโตในอัตราที่ลดลงได้อย่างมาก
รายได้ของกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 อยู่ที่ 4.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นและการบริหารจัดการงบดุลที่คล่องตัวของกลุ่มธนาคารในการใช้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงิน ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการเดินทางในภูมิภาค
บวกกับแรงหนุนจากการเข้าซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซียและไทย แม้ภาวะตลาดจะยังคงผันผวน แต่เงินทุนไหลเข้าใหม่สุทธิจากกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งทำให้สินทรัพย์ภายใต้จากการบริหารจัดการของธนาคารเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 154 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยูโอบีมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 800,000 ราย ซึ่งเกินกว่าครึ่งเป็นลูกค้าที่เปิดบัญชีออนไลน์
ในปี 2565 กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจตามยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ในเดือนพฤศจิกายน ธนาคารประกาศคำมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และสนับสนุนลูกค้าอย่างใกล้ชิดในการเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นธรรม โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลของการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง
พอร์ตโฟลิโอการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนของกลุ่มธนาคารแตะระดับ 25 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามแผนเพื่อบรรลุเป้าหมาย 30 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ภายในปี 2568 นอกจากนี้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมในการลงทุนที่มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของกลุ่มธนาคารเติบโตขึ้นแตะระดับ 10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในปี 2565
สารจากกรรมการผู้จัดการใหญ่
นาย วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 จากส่วนต่างระหว่างรายรับและรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักที่เข้มแข็ง งบดุลที่แข็งแกร่ง และคุณภาพของสินเชื่อที่ยืดหยุ่น
“และที่สำคัญคือ ปี 2565 นับเป็นปีที่ยูโอบีก้าวผ่านหลักชัยสำคัญด้วยการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปใน 4 ประเทศ กระบวนการการเข้าซื้อในมาเลเซียและไทยดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนกิจการในอินโดนีเซียและเวียดนามคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปีนี้
ข้อตกลงที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงภาวะโรคระบาดใหญ่ และส่งผลให้ยูโอบีอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของธนาคารในภาคการธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยในระดับภูมิภาค เราพร้อมให้บริการฐานลูกค้าที่ขยายใหญ่ขึ้นจำนวน 7 ล้านรายด้วยเครือข่ายที่ขยายกว้างขึ้นและขีดความสามารถที่ยกระดับขึ้นอีก
“ภูมิภาคอาเซียนเต็มไปด้วยศักยภาพมหาศาลในระยะยาว เรายังคงมองภูมิภาคนี้ในเชิงบวกแม้ต้องเผชิญกับความตึงเครียดทางเศรษฐกิจทั่วโลกก็ตาม และเมื่อมองไปในอนาคต เรายังคงเชื่อมั่นว่ายุทธศาสตร์ในการพัฒนาธุรกิจจะยังสร้างคุณค่าให้ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไปอย่างมั่งคงและมีเสถียรภาพ
ผลการดำเนินงานทางการเงิน
2022
S$’m |
2021
S$’m |
YoY
+/(-)% |
4Q22
S$’m |
3Q22
S$’m |
QoQ
+/(-)% |
4Q21
S$’m |
YoY
+/(-)% |
|
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิ | 8,343 | 6,388 | 31 | 2,560 | 2,234 | 15 | 1,677 | 53 |
รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิ | 2,143 | 2,357 | (9) | 485 | 519 | (7) | 580 | (16) |
รายได้อื่นๆ | 1,089 | 1,044 | 4 | 285 | 431 | (34) | 177 | 62 |
รายได้รวม | 11,575 | 9,789 | 18 | 3,330 | 3,184 | 5 | 2,434 | 37 |
หัก : ค่าใช้จ่ายรวม | 5,016 | 4,313 | 16 | 1,418 | 1,357 | 4 | 1,095 | 29 |
กำไรจากการดำเนินการ | 6,559 | 5,476 | 20 | 1,912 | 1,827 | 5 | 1,339 | 43 |
หัก : ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน | 3 | – | NM | 3 | – | NM | – | NM |
หัก : การด้อยค่าสินทรัพย์ | 603 | 657 | (8) | 184 | 104 | 78 | 112 | 65 |
บวก : บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า | 97 | 118 | (17) | 28 | 18 | 59 | 19 | 50 |
กำไรสุทธิ | 4,819 | 4,075 | 18 | 1,398 | 1,403 | (0) | 1,017 | 37 |
หัก : ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว | ||||||||
– การซื้อกิจการซิตี้ (สุทธิหลังภาษี) | 70 | – | NM | 70 | – | NM | – | NM |
– ค่าอากรแสตมป์ | 176 | – | NM | 176 | – | NM | – | NM |
กำไรสุทธิ (รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว) | 4,573 | 4,075 | 12 | 1,152 | 1,403 | (18) | 1,017 | 13 |
ปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564
กำไรหลักสุทธิปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากปีก่อนหน้า แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่แข็งแกร่งและคุณภาพของสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดขึ้น กำไรสุทธิปี 2565 จะอยู่ที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 31 อยู่ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่แข็งแกร่งที่ 30 จุด อยู่ที่ร้อยละ 1.86 จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้นร้อยละ 3
แม้ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตจะเติบโตขึ้นในอัตราเลข 2 หลักจากการใช้จ่ายของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและการรวมธุรกิจบัตรเครดิตของซิตี้กรุ๊ป แต่รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิกลับปรับตัวลดลงร้อยละ 9 อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนที่ยังคงอ่อนไหวส่งผลต่อค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและกองทุน
รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 นำโดยความต้องการป้องกันความเสี่ยง (hedging demand) ในภาวะตลาดผันผวน ซึ่งบางส่วนได้รับการชดเชยโดยผลกระทบของหลักทรัพย์เพื่อป้องก้นความเสี่ยงและการลดลงของมูลค่าเงินลงทุน ดังนั้น รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นจึงปรับตัวขึ้นร้อยละ 4 อยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
รายได้ที่เติบโตขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักรวมที่เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 16 อยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่งผลให้อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 อยู่ที่ร้อยละ 43.3
คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีเสถียรภาพ เงินกันสำรองรวมลดลงร้อยละ 8 อยู่ที่ 603 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากการตั้งเงินกันสำรองเชิงรุกเพื่อชดเชยกับเงินกันสำรองเฉพาะที่เพิ่มสูงขึ้น เงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อยังคงอยู่ที่ 20 จุด
ไตรมาส 4 ปี 2565 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565
กำไรหลักสุทธิสำหรับไตรมาส 4 ยังคงที่อยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการซื้อกิจการ กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 27 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.22 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิปรับลดลงร้อยละ 7 อยู่ที่ 485 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากการชะลอตัวตามฤดูกาลของการบริหารจัดการความมั่งคั่งและกิจกรรมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ
แม้ว่าค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตจะทำสถิติสูงสุดใหม่จากการใช้จ่ายของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น พร้อมแรงหนุนเสริมจากการรวมธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปก็ตาม รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นปรับตัวสู่ระดับปกติที่ 285 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หลังได้รับอานิงส์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 3 ปี 2565 จากความผันผวนของตลาด
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 อยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ร้อยละ 42.6 เงินกันสำรองรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 184 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนใหญ่เนื่องมาจากเงินกันสำรองเฉพาะรายลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบัญชีนอกระบบ (non-systemic accounts) บางบัญชี แต่ชดเชยด้วยการโอนกลับของเงินกันสำรองทั่วไป
ไตรมาส 4 ปี 2565 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564
รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 นำโดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น 66 จุด และสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้นร้อยละ 3 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิปรับลดลงร้อยละ 16 ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่แข็งแกร่งช่วยชดเชยค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่อ่อนตัวลง รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นปรับตัวพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 62 อยู่ที่ 285 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งบวกกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัยส่งผลให้อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 45.0 ลดลงเหลือร้อยละ 42.6 ทั้งนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว เงินกันสำรองรวมอยู่ที่ 184 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากเงินกันสำรองเฉพาะรายลูกหนี้ที่สูงขึ้น
คุณภาพของสินทรัพย์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ยังคงแข็งแกร่ง อยู่ที่ร้อยละ 1.6 อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกันสำรองของสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 98 หรือร้อยละ 207 หากนับรวมหลักประกัน ส่วนเงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อที่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 0.9
เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง
เงินทุน สภาพคล่อง และฐานะเงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบีแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2565 หลังการซื้อกิจการจากซิตี้กรุ๊ป
อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับตัวดีขึ้นที่ร้อยละ 13.3 สำหรับไตรมาสดังกล่าว อัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (LCR) ในทุกสกุลเงินเฉลี่ยที่ร้อยละ 147 ในขณะที่อัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 116 สูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ ส่วนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (LDR) ยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 85.6
# # #
เกี่ยวกับธนาคารยูโอบี
ธนาคาร ยูโอบี เป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย มีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์และมีการดำเนินธุรกิจในจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม อีกทั้งยังมีเครือข่ายระดับโลกที่ประกอบด้วยสำนักงานประมาณ 500 แห่ง ใน 19 ประเทศและเขตการปกครอง ทั้งในเอเชียแปซิฟิก ยุโรปตะวันตก และอเมริกาเหนือ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2478 ธนาคารยูโอบีได้พัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการควบรวมกิจการที่สำคัญ ปัจจุบันธนาคารยูโอบีได้รับการจัดลำดับให้เป็นธนาคารที่มีความแข็งแกร่งในระดับสากลจากบริษัทจัดลำดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้แก่ ความน่าเชื่อถือระดับ Aa1 โดย มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และ ความน่าเชื่อถืออยู่ในลำดับ AAA (tha) จาก ฟิทช์ เรทติงส์ และเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติงส์
ตลอดระยะเวลาเกือบ 9 ทศววรษ ธนาคารยูโอบีดำเนินธุรกิจโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ธุรกิจในระยะยาวโดยการปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านพลังงานแห่งความสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการทำสิ่งที่ถูกต้องแก่ลูกค้า ยูโอบีพร้อมที่จะพัฒนาอนาคตของภูมิภาคอาเซียนในเติบโต ทั้งประชากรและธุรกิจให้มีความเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงในภูมิภาค
เรายังมีส่วนในการเชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจภายในภูมิภาคนี้ ผ่านเครือข่ายทางการเงินที่แข็งแกร่ง เรามีการจัดทำฐานข้อมูลและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกสำหรับพัฒนาและนำเสนอประสบการณ์ทางการเงินส่วนบุคคล และบริการทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง ยูโอบีมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจให้แก่ลูกค้า ผ่านกิจกรรมการมีส่วนร่วมทางสังคม สร้างผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ธนาคารเชื่อมั่นในการเป็นผู้บริการทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ พร้อมทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผ่านการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมด้านศิลปะ เยาวชน และการศึกษา
เกี่ยวกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศ 151 สาขา และเครื่องเบิกเงินสดอัตโนมัติ 349 เครื่อง (ข้อมูลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565) โดยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้แก่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (อันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากระยะยาวที่ A3) และฟิทช์ เรทติ้งส์ (อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวที่ A- และความน่าเชื่อถือภายในประเทศระยะยาวที่ AAA(tha))
[1]กำไรหลักสุทธิไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดจากการซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซียและไทย