SABINA เผย กำไรสุทธิครึ่งปีแรก มองแนวโน้มครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง

นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า”

SABINA เผย กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 210.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.5% YoY บอร์ดเคาะปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.61 บาท มองแนวโน้มครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง

SABINA แรงไม่แผ่ว หลังเผยผลประกอบการงวดครึ่งปี (มกราคมถึงมิถุนายน 2565) รายได้รวม 1,570.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 265 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.3% จากงวดเดียวกันของปี 2564 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 210.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.8 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 49.5%

โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 47.2% ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.61 บาท ตอกย้ำนโยบายปันผลในอัตรา 100% ของกำไรสุทธิ มองแนวโน้มครึ่งปีหลังยังเติบโตต่อเนื่อง จากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกำลังซื้อ

แม้จะยังเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ด้วยกลยุทธ์การทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเป้าหมายการเติบโตไว้ได้ที่ 20% อย่างแน่นอน

นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ถือว่าเป็นที่น่าพอใจและเป็นไปตามความคาดหมาย

ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.61 บาท สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2565 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2565

นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า”

ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 100% ของกำไรสุทธิ จากนโยบายของบริษัทฯ ที่กำหนดจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือจากหักภาษีและหักสำรองตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด

สำหรับปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน มาจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยการเติบโตของรายได้ยอดขายมาจากทุกช่องทาง ทั้งช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งเติบโต 22.2% ช่องทางออนไลน์ (Non-Store Retailing) เติบโต 14.1%

และช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ที่เติบโต 28.3% ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเดินหน้าควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายในการรักษาการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

“ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เราเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายอย่าง แม้ว่ากำลังซื้อจะดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งจากผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวที่เราเห็นชัดเจนขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาสที่ 2 ก็เป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเราพบว่า ต้นทุนค่าพลังงานต่อยอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบขยับขึ้นตามไปด้วย”

“อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถรับมือกับปัจจัยดังกล่าวได้ โดยเฉพาะการใช้ระบบ “ลีน” (Lean) ที่ทำให้ระบบการผลิตในโรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเปล่า (Waste) ได้มากขึ้น ทำให้เราสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ในไตรมาสที่ 2 เรายังต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่ถึงแม้จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ก็ติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกับการผลิตในโรงงาน และส่งผลกับอัตรากำไรขั้นต้นเฉพาะในไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) แต่เป็นแค่ผลกระทบในระยะสั้นๆ เท่านั้น” นางสาวดวงดาว กล่าว

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มราคาพลังงานที่ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 เริ่มคลี่คลายลงบ้าง

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวน แต่เชื่อมั่นว่า ปัจจัยค่าเงินบาทจะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ เนื่องจาก SABINA มีสถานะเป็นทั้งผู้นำเข้า ที่ได้รับผลบวกจากการแข็งค่าของเงินบาท และเป็นทั้งผู้ส่งออก ที่ได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์ปรับตัวเร็วและมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ไม่มีความกังวลในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน และเมื่อพิจารณาจากภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดของ SABINA ที่มีประสิทธิภาพ เน้นการเจาะลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกลุ่มตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ และเน้นการตอบสนองกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว

ตลอดจนแคมเปญใหม่ๆ และสินค้าที่จะออกมาทำตลาดในช่วงที่เหลืออยู่ของปีนี้ ทำให้มั่นใจว่า เป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ที่ระดับ 20% ยังเป็นไปได้ตามนั้นอย่างแน่นอน