เดอะ คอฟฟี่ คลับ ดึงจุดขาย กาแฟพรีเมี่ยม ชูเมนูกาแฟไฮไลต์ รับ แพลนต์เบส

เดอะ คอฟฟี่ คลับ ดึงจุดขาย กาแฟพรีเมี่ยม ชูเมนูกาแฟไฮไลต์ รับเทรนด์แพลนต์เบส ตอบโจทย์ ร้านกาแฟออลเดย์ไดนิ่ง ตั้งเป้าสัดส่วนเมนูกาแฟ โตเพิ่ม 20% ตอกย้ำ ร้านกาแฟออลเดย์ไดนิ่ง ระดับโลก

เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) ตอกย้ำจุดขายร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่งชั้นนำ ชูจุดเด่นเครื่องดื่มกาแฟรสชาติเยี่ยมทั้งแบบร้อน เย็น และปั่น หลากหลายที่รังสรรค์จากวัตถุดิบคุณภาพทั้งเมล็ดพันธุ์กาแฟระดับพรีเมี่ยม ส่วนผสมต่างๆ โดยเฉพาะนมที่มีหลากชนิดให้เลือกตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟผู้บริโภคทุกกลุ่ม

รวมถึงความสำคัญในเรื่องของคุณภาพในการให้บริการทั้งในเรื่องของบาริสต้าที่ได้รับการเทรนนิ่งอย่างมืออาชีพ และอุปกรณ์ในการทำกาแฟที่เป็นไปตามมาตรฐานของออสเตรเลีย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจถึงมาตรฐานและรสชาติของเมนูกาแฟทุกแก้วในทุกสาขาที่เหมือนกัน

ล่าสุด เปิดเมนูกาแฟใหม่เอาใจคอกาแฟเลิฟเวอร์ เริ่มต้นด้วย 4 เมนูกาแฟแพลนต์เบสกับนมทางเลือกจากธัญพืชและพืชสำหรับสายรักสุขภาพ ได้แก่ ลาเต้เย็นนมข้าวโอ๊ต คาปูชิโน่เย็นนมอัลมอนด์ คาปูชิโน่เย็นนมมะพร้าว และคาราเมลเย็นนมถั่วเหลือง

ตามมาด้วย อีก 2 เมนูใหม่สำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟในรสชาติที่แปลกใหม่ ที่มาพร้อมความสดชื่นและมีประโยชน์ ได้แก่ เอสเปรสโซ่แพชชั่นโทนิค และเอสเปรสโซ่น้ำส้ม ที่พร้อมเสิร์ฟครอบคลุมทั้งการนั่งในร้าน ดีลิเวอรี่ และ Grab & Go ผ่านทั้ง 31 สาขาทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการออกเมนูกาแฟใหม่จะมาช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยตั้งเป้าสัดส่วนเมนูกาแฟเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 20% ตอกย้ำภาพการเป็นร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่งชั้นนำที่พร้อมส่งมอบโมเมนต์ดีๆ ที่มีได้ทุกวันสำหรับลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติต้องมาเยือน

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะ คอฟฟี่ คลับ ในฐานะร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่ง นอกจากการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดีมีความหลากหลายตลอดทั้งวัน อีกหนึ่งหัวใจหลักที่ทำให้ร้านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกกว่า 30 ปี คือ “กาแฟ” ที่ถือเป็นจุดเด่นของร้าน

โดยเครื่องดื่มกาแฟของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ลูกค้าสามารถเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ต้องการได้ โดยมีให้เลือก 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ซิกเนเจอร์เบลนด์ (Signature Blend) ที่นำเข้าจากออสเตรเลีย และ สยามเบลนด์ (Siam Blend) ที่ปลูกจากทางภาคเหนือของไทย รวมถึงสูตรกาแฟที่ใช้ในทุกสาขาจะเป็นไปตามมาตรฐานสูตรจากออสเตรเลียที่ได้ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับคนไทยด้วยการทำให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ในขณะที่ด้านส่วนผสมอื่นๆ ในกาแฟก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

โดยมีนมทางเลือกจากธัญพืชและพืชเพื่อคนรักสุขภาพ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่แพ้นมวัว หรือกลุ่มลูกค้าแพลนต์เบส (Plant-based) ทั้งหมด 4 ชนิดให้เลือกสรร ได้แก่ นมข้าวโอ๊ต (Oat Milk) ที่ถือเป็นนมไฮไลต์ของร้านที่กำลังได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยนมข้าวโอ๊ตของร้านใช้วัตถุดิบเป็นข้าวโอ๊ตนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งมีจุดเด่นคือความเข้มข้นของตัวนมและความหอมมัน พร้อมมอบรสสัมผัสใกล้เคียงกับนมวัวอย่างมาก

ซึ่งพอนำมาผสมกับกาแฟก็ยังให้รสชาติความเข้มข้นของกาแฟได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เป็นนมอีกชนิดที่ได้รับความนิยมใกล้เคียงนมวัวเนื่องจากสามารถทำกาแฟได้หลายรสชาติ ต่อด้วย นมถั่วเหลือง (Soy Milk) ที่มีความหอมมันน้อยลงมา รวมถึง นมอัลมอนด์ (Almond Milk) และนมมะพร้าว (Coconut Milk) โดยทั้งนมอัลมอนด์และนมมะพร้าว เหมาะกับคนที่ชอบดื่มกาแฟรสชาติเบาๆ ที่ไม่ต้องการความมันมากแต่ยังต้องการกลิ่นความหอมเฉพาะตัวของนมขณะดื่ม

ล่าสุด เดอะ คอฟฟี่ คลับ ได้เปิดตัว 6 เมนูเครื่องดื่มกาแฟใหม่ เอาใจคอกาแฟเลิฟเวอร์ ประกอบด้วย 4 เมนูกาแฟแพลนต์เบสนมทางเลือกจากธัญพืชและพืช ได้แก่ ลาเต้เย็นนมข้าวโอ๊ต (Iced Latte Oat Milk) ตามมาด้วย คาปูชิโน่เย็นนมมะพร้าว (Iced Cappuccino Coconut Milk) และ คาราเมลเย็นนมถั่วเหลือง (Iced Caramel Soy Milk) ในราคาแก้วละ 145 บาท และคาปูชิโน่เย็นนมอัลมอนด์ (Iced Cappuccino Almond Milk) ราคาแก้วละ 135 บาท

รวมถึง 2 เมนูกาแฟผสมน้ำผลไม้และน้ำโทนิคใหม่ล่าสุด ได้แก่ เอสเปรสโซ่แพชชั่นโทนิค (Espresso Passion) และ เอสเปรสโซ่น้ำส้ม (Espresso Orange) ในราคาแก้วละ 130 บาท ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกจับคู่เครื่องดื่มกับเมนูของว่างใหม่ล่าสุด

นางสาวกรรฑิมา ไผ่สะอาด บาริสต้า เทรนเนอร์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ

อาทิ Cranberry Pie, Chocolate Delight Tart, Parisian Ham Brie Kraftkorn Sandwich, Filled Croissant-Yuzu, Truffle Honey Brie Croissant และ Truffle Mushroom Cranberry Cruffin หรือจะทานคู่กับ Sweet Breakfast 2 เมนูขนมหวานใหม่ล่าสุดอย่าง Pancake with Berry Homemade รวมถึง Strawberry Waffle Homemade เพื่อให้อิ่มท้องมากขึ้นได้

ปัจจุบัน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ให้บริการเครื่องดื่มเมนูกาแฟหลากหลายทั้งแบบร้อน เย็น และปั่น ที่รังสรรค์จากเมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์เบลนด์และเมล็ดกาแฟสยามเบลนด์ ไม่ว่าจะเป็น แฟลตไวท์ อเมริกาโน่ เอสเปรสโซ่ อัฟโฟกาโต้ ลาเต้ คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ มอคค่า ฯลฯ

ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกว่าจะดื่มเป็นกาแฟที่มีกาเฟอีนปกติ กาแฟไม่มีกาเฟอีน (Decaf Coffee) ในขณะเดียวกัน ลูกค้ายังสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ อาทิ การเพิ่มช็อตกาแฟ หรือจะเป็นเพิ่มไซรัปรสชาติต่างๆ รวมถึงวิปครีม ตลอดจนไอศกรีม ฯลฯ ได้ตามต้องการอีกด้วย

“ทั้งนี้ เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีสัดส่วนยอดขายจากการขายเมนูกาแฟ คิดเป็น 60% โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าช่วงวัยทำงาน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเชื่อมั่นว่าการออกเมนูกาแฟใหม่ทั้งหมดนี้จะมาช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งเป้าสัดส่วนเมนูกาแฟให้เติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 20% ด้วยการออกแคมเปญทางการตลาด ทั้งโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้และการบริโภคของลูกค้าให้มากขึ้นตลอดทั้งปี ผ่านทั้ง 31 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งการนั่งในร้าน ดีลิเวอรี่ และ Grab & Go ย้ำภาพการเป็นร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่งชั้นนำที่พร้อมส่งมอบโมเมนต์ดีๆ ที่มีได้ทุกวันสำหรับลูกค้าทุกคน” นางนงชนก กล่าวสรุป

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) โทรศัพท์ 02-365-6999 เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/thecoffeeclubthailand  หรือเว็บไซต์ https://thecoffeeclub.co.th/