เอกา โกลบอล ลุยโปรดักต์รักษ์โลก ทุ่มงบ R&D เตรียมปรับพื้นที่ เปิดศูนย์การเรียนรู้

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL)
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL)

เอกา โกลบอล ลุยโปรดักต์รักษ์โลก ทุ่มงบ R&D เตรียมปรับพื้นที่ เปิดศูนย์การเรียนรู้

วันที่ 17 พ.ย. 2564 นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เปิดเผยว่า ภายหลังแผนการติดตั้งเครื่องจักรขยายกำลังการผลิตไลน์ใหม่ ลำดับที่ 10 กำลังการผลิต 350 ล้านชิ้นต่อปีของบริษัทฯ ได้ดำเนินการสำเร็จ พร้อมกับได้เดินเครื่องจักรผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีก 15% มาอยู่ที่ 2,850 ล้านชิ้นต่อปี

ซึ่งในก้าวถัดไป เอกา โกลบอล พร้อมเดินหน้าลุยธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารแนวคิดใหม่ๆ แบบครบวงจร 360 องศา โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ กรีนโปรดักต์

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL)
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL)

โดยทุกๆ ปี จะกำหนดงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนา สูงกว่า 1-2% ของยอดขายรวม และล่าสุด เตรียมจัดสรรงบประมาณกว่า 60-70 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ และใช้เป็นศูนย์เพื่อการเรียนรู้ โดยอาคารดังกล่าวจะตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกับโรงงาน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565

“เอกา โกลบอล ตั้งเจตนารมณ์มุ่งส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการลดปริมาณขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน “กรีนโปรดักต์” เป็นโรดแมปธุรกิจของเอกา โกลบอล ซึ่งไลน์การผลิตใหม่ บริษัทฯ ก็เตรียมไว้เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ กรีนโปรดักต์ ด้วยเช่นกัน”

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของเอกา โกลบอล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว โดยบรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้ 100% ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ “กรีนโปรดักต์” เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์

ประกอบด้วย 1. บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) ที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย เป็นต้น 2. บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 3. บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล ฯลฯ

นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โลกยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี ในระยะ 3-5 ปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เป็นตัวเร่งให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ความต้องการสินค้าสะดวกซื้อสะดวกใช้ และอาหารปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจฟู้ดดีลิเวอรี่ และถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิดจะจบลงแต่ผู้บริโภคยุคใหม่จะคุ้นชินกับวิถีชีวิตใหม่แล้ว ทั้งนี้ เป็นผลดีต่อภาพรวมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมอาหาร

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยบวกจากเทรนด์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจและมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตลาดอาหารสัตว์พรีเมี่ยมที่ยังได้รับความนิยม แม้จะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา เนื่องจากกลุ่มคนรักสัตว์ที่รักสัตว์เลี้ยงจริงๆ ต้องการดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดไม่ต่างไปจากตนเอง ซึ่งอาหารจะเป็นสิ่งแรกที่คำนึงถึงและต้องใส่ใจมากที่สุด

“เอกา โกลบอล มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน และอาหารสัตว์เลี้ยง ในสัดส่วนรายได้ 50:50 โดยสถานการณ์โควิด ทำให้เรามีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นเยอะมาก เมื่อผู้คนอยู่บ้านมากขึ้นและต้องการใช้สินค้าสะดวกซื้อสะดวกใช้และปลอดภัยมากขึ้น ผู้คนกินอาหารสดลดลงและต้องการอาหารพร้อมรับประทานที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยและไม่ต้องแช่ตู้เย็นมากขึ้น ควบคู่ไปกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมี่ยมก็โตขึ้นมาก เพราะผู้คนอยู่บ้านนานขึ้นได้หันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

ซึ่งผู้บริโภคยุคใหม่จะนิยมซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงปรุงสำเร็จมากกว่าปรุงอาหารเอง และเขาจะดูแลสัตว์เลี้ยงดีเหมือนดูแลตนเอง ซึ่งคนรุ่นใหม่ต้องการสินค้าพรีเมี่ยมมากขึ้น บรรจุภัณฑ์ของเอกา โกลบอล จึงตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่มากที่สุด ทั้งมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม มีความพรีเมี่ยม และยังสะดวกซื้อ สะดวกใช้ มีความปลอดภัย ฯลฯ ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้ บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตตามเป้าหมาย 30-35% แตะที่ระดับ 1,200 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน” นายชัยวัฒน์ กล่าว