เผยแพร่ |
---|
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโควิด-19 ที่เกิดขึ้นมากว่า 2 ปีได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมไปถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เชื่อมโยงสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าในปีนี้มูลค่าการค้าออนไลน์จะสูงถึง 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจาก 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563
แม้ปี 2563 จะเป็นปีที่การค้าโลกหดตัวรุนแรงถึง 9% แต่การค้าทางออนไลน์กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 24% ยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยทางออนไลน์ต่อยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยรวมเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 12% ในปี 2562 เป็น 23% ในปี 2563 โดยตลาด E-Commerce ที่มีขนาดใหญ่และโตเร็ว เช่น จีน มีมูลค่าตลาดการค้าออนไลน์ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกา 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดีย 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาด E-Commerce โลกจึงเป็นขุมทรัพย์มหาศาลที่รอให้ผู้ส่งออก SMEs เข้าไปคว้าโอกาส
เมื่อย้อนกลับมามองที่ SMEs ค้าออนไลน์ของไทย มีเพียง 10% เท่านั้นที่ค้าขายออนไลน์ระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังคงขายออนไลน์ในประเทศเป็นหลัก ทั้งที่ตลาดในประเทศมีข้อจำกัดหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นขนาดตลาดที่ไม่ใหญ่ด้วยประชากรเพียง 66 ล้านคน คิดเป็น 10% ของอาเซียน หรือ 0.9% ของโลก เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุซึ่งทำให้การค้าขายไม่คึกคักมากนัก EXIM BANK จึงจัดให้มีแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ สร้างโอกาสให้ SMEsไทยขยายธุรกิจในประเทศไปสู่ตลาด E-Commerce ซึ่งกำลังเติบโตตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในโลก New Normal
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ประธานกรรมการบริหารและประธานกรรมการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในโอกาสเปิดโครงการแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ “EXIM Thailand Pavilion” ว่า “โควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น อันเป็นเหตุให้การค้าออนไลน์หรือธุรกิจ E-Commerce ซึ่งเดิมเติบโตอยู่แล้วสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2568 การค้าออนไลน์ของโลกจะมีมูลค่า 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 2563 ที่อยู่ประมาณ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ Global E-Commerce Platform จะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการสู่โอกาสที่รออยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เป็นอีกช่องทางการค้าใหม่ของผู้ประกอบการ SMEs ไทย”
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ในปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการ SMEs กว่า 3 ล้านราย โดยมีเพียงไม่ถึง 1% ที่สามารถเติบโตไปสู่การเป็นผู้ส่งออก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มีผู้ส่งออก SMEs จำนวนถึง 10% ของ SMEs ทั้งประเทศ และ 30% ของ SMEs เวียดนามค้าขายออนไลน์ระหว่างประเทศ E-Commerce จึงเป็นเส้นทางลัดที่จะช่วยให้ผู้ส่งออก SMEs ของไทยสามารถเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดออนไลน์โลกที่กำลังเติบโตได้มากขึ้น กว้างขึ้นและลึกขึ้น โดยในมุมของความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกพบว่าสินค้าของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูงไม่แพ้ใคร
เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางนำสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์มการค้าระดับโลกในช่วงเวลาที่ตลาดออนไลน์ของโลกกำลังเติบโต EXIM BANK จึงริเริ่มและดำเนินโครงการ “EXIM Thailand Pavilion” ร่วมกับ AJ E-Commerce ซึ่งเป็น Alibaba.com Authorized Partner เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถโพสต์ขายสินค้าในบัญชีสมาชิกของ EXIM BANK ชื่อ “EXIM Thailand Pavilion” ช่วยย่นระยะทางและระยะเวลาการติดต่อธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อในต่างประเทศ ช่วยสร้างผู้ส่งออกรายใหม่หรือผู้ส่งออกป้ายแดงของไทยได้มากขึ้น พร้อมรับบริการสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้ เงินทุน เครื่องมือ ตลอดจนค่าสมาชิก พร้อมทีมงานบริหารร้านค้าและทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฟรี! 1 ปี นอกจากนี้ EXIM Thailand Pavilion ยังเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า (Trading) และผู้ให้บริการคลังสินค้าพร้อมจัดส่ง (Fulfillment) ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยเทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยเชื่อมโยงกันภายใต้ Supply Chain ของ E-Commerce โลก