OTOP โอกาสทางการค้าในยุค New Normal

OTOP โอกาสทางการค้าในยุค New Normal
OTOP โอกาสทางการค้าในยุค New Normal

OTOP โอกาสทางการค้าในยุค New Normal

 

โอท็อป นับเป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบที่สืบเนื่องจากการล็อกดาวน์ประเทศ อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีการพัฒนาสู่แพลตฟอร์มขายออนไลน์ และทำการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น
#OTOP #bangkokbank #bangkokbanksme #sme

สินค้า OTOP (One Tambon One Product) ของไทย เป็นสินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มคนในชุมชน ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมในพื้นที่แบบมีลักษณะเฉพาะชัดเจน จึงเป็นจุดแข็ง จุดขายที่สำคัญ รวมไปถึงมีศักยภาพในการส่งออกสูง ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ จนสามารสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ และสินค้ากลายเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง เครื่องประดับ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ตัวตนท้องถิ่นชัดเจน

จากข้อมูลกรมการพัฒนาชุมชน โดยสินค้าในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อป (OTOP) รายงานว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่าการค้าสินค้าโอท็อปเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนล้านบาทภายในปีงบประมาณ 2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ยอดขายอยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งสินค้าโอท็อปมีมูลค่าการจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

โควิด-19 ระบาด ยอดขายสะดุด

หากแต่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามาทำให้เศรษฐกิจสะดุดหยุดชะงักลงไปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้โอกาสที่จะดันสินค้าโอท็อปไทยให้ผงาดไปตามแผนของรัฐบาลตามกรอบงบประมาณปี 2563 ที่วางไว้ต้องสะดุด จากการล็อกดาวน์เศรษฐกิจทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อปไทย ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2563 หดหายไปเกือบ 30,000 ล้านบาท คำนวณจากยอดขายรวมสินค้าผลิตภัณฑ์โอท็อปทั้งปีทั่วประเทศ จากเครือข่ายโอท็อปไทยประมาณกว่า 90,000 ราย ที่สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายสินค้าในช่องทางการตลาด เช่น งานอีเว้นต์ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ตลาดประชารัฐ ฯลฯ ได้ตามปกติ

นายพงศ์สวัสดิ์ ยอดสุรางค์ ประธานเครือข่ายโอท็อปไทย ได้กล่าวว่า ในปี 2563 มีการตั้งเป้ายอดขายไว้ให้มีการขยายตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นประมาณ 20% ตามปกติแล้วการซื้อขายผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อป ผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการสัมผัสสินค้าของจริง ในปี 2563 จึงได้วางแผนจะจัดงานโรดโชว์หลายงาน งานอีเว้นต์ครั้งแรกของปี 2563 เมื่อวันที่ 3-9 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ อ.เมือง จ.สงขลา จำนวน 200 บู๊ธ ตั้งเป้าทำยอดขาย 10 ล้านบาท

ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ถึง 25 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ที่ทำยอดขายได้ดี คือผลิตภัณฑ์โอท็อปประเภทอาหาร เสื้อผ้า อัญมณี และจัดโรดโชว์ผลิตภัณฑ์โอท็อปครั้งที่ 2 วันที่ 20-29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ จ.ชุมพร จำนวน 300 บู๊ธ จากทั่วประเทศ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50 ล้านบาท ปรากฏว่าโควิดเริ่มแพร่ระบาดเข้ามาพอดี ยอดขายได้ตกต่ำเกินคาดหมายเหลือประมาณ 18 ล้านบาท และเมื่อรัฐบาลมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศจังหวัด มาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น ทำให้กิจกรรมทั้งหมดต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง

OTOP ไทยกับโอกาสทางการค้าที่ต้องปรับตัว

ตามสภาพความเป็นจริงที่ผ่านมา สินค้าโอท็อปของไทยที่เป็นแบรนด์ไทยและแบรนด์ท้องถิ่น กลายเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และหลายผลิตภัณฑ์ หลายแบรนด์มีชื่อเสียง จนได้รับความนิยมในกลุ่มคนต่างประเทศ เช่น กระทิงแดง, มวยไทย อย่างไรก็ตาม พบว่าสินค้าโอท็อปไทยยังมีจุดอ่อนสำคัญ 3 ประการ คือ

1. แพ็กเกจจิ้งและความหลากหลาย กล่าวคือมีเพียงสินค้า 40% จากสินค้าโอท็อปไทยกว่า 20,000 รายการที่ได้รับความนิยม ที่เหลือกลายเป็นสินค้าที่ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ไม่มีการสร้างความแตกต่าง หรือ Story ที่ชวนจำ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์หีบห่อไม่สวยงามและทันสมัย

2. ขาดความเข้าใจในการทำตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตสินค้าโอท็อปเกิดภาวะขาดทุน จากการขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะทางการเดินเกมการตลาด การตั้งราคา และเพิ่มมูลค่าสินค้า จึงทำให้ขาดทุนต่อเนื่อง

3. ช่องทางการจำหน่ายไม่ชัดเจน สินค้าโอท็อปได้รับการแจ้งเกิดผ่านพื้นที่ตลาดงานแฟร์ โรดโชว์ และงานอีเว้นต์ต่างๆ ที่มีหน่วยงานภาครัฐสนับสนุน ทำให้การทำการตลาดสินค้าโอท็อป ยังคงยึดติดผูกขาดอยู่กับการช่วยเหลือของภาครัฐ ผู้ผลิตสินค้าไม่มีการรุกทำตลาดเอง ทำให้ไม่สามารถสร้างช่องทางการกระจายสินค้าหรือสร้างรายได้ด้วยตัวเองผ่านรูปแบบอื่นได้  ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงสินค้า เมื่อต้องการกลับมาซื้อซ้ำก็ไม่สามารถตามเจอได้ ทำให้ขาดโอกาสในการจำหน่าย

หากวันนี้ระบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สามารถกลับไปดำเนินได้เหมือนเดิม ก่อนที่โควิด-19 จะเข้ามา กลุ่มผู้ประกอบการสินค้าโอท็อปจำต้องลุกขึ้นมาปรับตัว เสริมแกร่งติดอาวุธให้ธุรกิจตัวเองได้เดินหน้าต่อไป จากที่จะมุ่งเน้นขายสินค้าตามงานโรดโชว์ที่คงทำได้ยากขึ้น ในสภาพความเป็นจริงที่ว่าผู้คนไม่กล้าพาตัวเองออกไปในพื้นที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่านเหมือนเคย ด้วยความวิตกกังวลว่าจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 กลับเข้ามาบ้านโดยไม่รู้ตัว การจะเข้าเดินชมสินค้าตามงานดังกล่าวจึงอาจได้รับความนิยมลดลง จากการปรับตัวสู่ New Normal ของผู้คนหลังจากนี้

ผู้ประกอบการต้องมีการศึกษานำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือทางการตลาด เพื่อรองรับโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเข้ามาสู่ประเทศไทย หากต้องปรับเข้าสู่การจัดจำหน่ายสินค้างานแฟร์ออนไลน์เสมือนจริงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่มีความเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้

นอกจากนี้ต้องปรับนำสินค้าขึ้นวางขายบนแพลตฟอร์มมาร์เก็ต ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโอท็อปไทยหรือแพลตฟอร์มมาร์เก็ตทั่วไปที่เปิดให้บริการใช้พื้นที่ขาย ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบแพ็กเกจจิ้ง สร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย บนแหล่งขายที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคภายในประเทศและต่างประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าโอท็อปไทยได้ง่ายภายใต้การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

เพราะหากบรรยากาศเดิมๆ ไม่กลับมา และไม่มีหนทางที่จะกำจัดโรคโควิด-19 ให้หมดไปจากโลกได้จริงๆ โครงการสินค้าโอท็อปของไทยที่รัฐบาลพยายามปลุกปั้นมาหลายยุคสมัย เพื่อโชว์เอกลักษณ์ของวิถีท้องถิ่น จะได้ไม่ถูกกลืนหายไปพร้อมกับเศรษฐกิจชุมชนที่สะดุด หยุดชะงัก ขาดรายได้หมุนเวียนในชุมชน เพราะไม่สามารถทำตลาดแบบเดิมได้ ทั้งๆ ที่ยังมีประตูโอกาสเกื้อหนุนอยู่มากทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้ภายใต้ความนิยมสินค้าโอท็อปของไทยจากชาวต่างชาติ และข้อตกลงเขตการค้าเสรีของไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ FTA ไทย- และ FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่เปิดไฟเขียวให้สินค้าโอท็อปของไทย เช่น ผ้าทอ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ไม้ และของทำด้วยหิน ได้รับการลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0%  และได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences : GSP) จากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทำให้สินค้า OTOP ของไทย โดยเฉพาะผ้าไหมพื้นเมือง เครื่องจักสานจากเส้นใยพืช ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องเบญจรงค์ ที่ส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญดังกล่าวเสียภาษีนำเข้าในอัตราลดลงจากอัตราภาษีนำเข้าปกติ อันเป็นจุดแข็งที่ขายได้หากผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรที่รวมตัวกันเพื่อผลิตสินค้าโอท็อปมีการปรับตัว ตอบรับเทคโนโลยี และขับเคลื่อนสินค้าผ่านการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal ได้ด้วยตัวเอง

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.prachachat.net/local-economy/news-462673 

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/857655 


สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

SackItem กระเป๋าแฟชั่นจากถุงกระสอบใช้แล้วแนว Upcycle 

ถอดโมเดล 3 ผู้พัฒนาแบรนด์ จาก “ดอยสู่ดาว”

Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิกหรือสายด่วน 1333