สถาบันไฟฟ้า จับมือ สสว.เสริมศักยภาพ SMEs ไทยสู่สากล

สถาบันไฟฟ้า จับมือ สสว.เสริมศักยภาพ SMEs ไทยสู่สากล

จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ณ สิ้นปี 2560 มี SMEs จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,046,793 ราย คิดเป็นร้อยละ 99.78 ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งประเทศ (โดยเป็นส่วนของวิสาหกิจขนาดย่อม (SE) 3,028,495 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.40 ของจำนวนวิสาหกิจรวมทั้งประเทศ) และเมื่อจำแนก SMEs ตามประเภทการจัดตั้ง สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ นิติบุคคล 675,633 ราย (ร้อยละ 22.18) วิสาหกิจชุมชน 85,429 ราย (ร้อยละ 2.80) และบุคคล/อื่นๆ 2,285,731 ราย (ร้อยละ 75.02) การจ้างงานของ SMEs อยู่ที่ 12,155,647 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 82.22 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และในส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของ SMEs มีมูลค่าร้อยละ 42.4 ของ GDP ประเทศ ดังนั้น วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs จึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ล่าสุดสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดงาน คิดให้แกร่ง แรงให้ไกล SMEs ไทยสู่สากล” ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SME Regular Level) ดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการกลุ่มทั่วไป (Regular) โดยให้การส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาด การจัดการนวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุน หรือได้รับมาตรฐานต่างๆ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งจะมีความสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริม SMEs ตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสมรรถนะผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน สู่การสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยภายในงานสัมมนาครั้งนี้ให้ความรู้ทางด้านการบริหารจัดการ การตลาด การผลิต การเงิน และให้ปรึกษาแนะนำเชิงลึกจากวิทยากร อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ โดยการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้สูงขึ้น สร้างให้เกิดมาตรฐานและคุณภาพในกระบวนการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสร้างสรรค์ รวมทั้งต่อยอดจนสามารถได้รับมาตรฐานสินค้าและบริการที่เป็นรูปธรรม เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP ของประเทศ เช่น กลุ่มอาหารและเกษตรแปรรูป กลุ่มแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มท่องเที่ยวรายได้สูง กลุ่มสปาและความงาม กลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เป็นต้น  ซึ่งจะสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริม SME ตามนโยบายรัฐบาล  และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs  ซึ่งเป็นภารกิจหลัก

คุณณรัฐ  รุจิรัตน์  ผู้อำนวยการสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) กล่าวว่าจัดงาน คิดให้แกร่ง แรงให้ไกล SMEs ไทยสู่สากล” ครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจต่างๆ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้รับความรู้และมีแนวทางไปปรับปรุง พัฒนา หรือต่อยอด ภายในองค์กรให้สามารถแข่งขันปรับตัวอยู่ในธุรกิจ ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป การรับจ้างผลิตของผู้ประกอบการแบบเดิมอาจไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคอีกต่อไป ผู้ประกอบการ จึงต้องปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นการผลิตที่เน้นการพัฒนาและออกแบบสินค้า (Original Design Manufacturer : ODM) รวมถึงการสร้างแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง (Original Brand Manufacturer : OBM) ตลอดจนการรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดเดิม รวมถึงการเปิดตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศ ตลาดภูมิภาคและตลาดโลก ด้านตลาดในประเทศควรสนับสนุนให้ใช้สินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทย ทั้งชิ้นส่วนและ สินค้าสำเร็จรูป โดยต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคด้วยการสร้างมาตรฐานสินค้า รวมถึงต้องสนับสนุน การจัดซื้อภาครัฐเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย ด้านตลาดภูมิภาคควรพัฒนาอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทยให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค เพื่อขยายการผลิต และการค้าให้ครอบคลุมมากขึ้นและด้านตลาดโลกมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain : GSC) โดยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะผู้รับจ้างผลิต ซึ่งจะมีความเชี่ยวชาญในการผลิตเฉพาะชิ้นส่วน รวมถึงการประกอบสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป

เพื่อให้การเสริมสร้างศักยภาพพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่อย่างต่อเนื่อง สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และสสว. จึงดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SME Regular Level) ในปี 2562 เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการภาคการผลิต การค้า และบริการ ผ่านแนวทางการพัฒนาโดยการวินิจฉัย และให้คำปรึกษาเพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงจุดอ่อนจุดแข็ง รวมไปถึงการให้คำปรึกษาและพัฒนาเชิงลึกในด้านต่างๆ เพื่อสามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจได้จริง ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือบริการ ลดต้นทุน การประกอบธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าหรือการบริการ อันจะเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะการประกอบการให้เข้มแข็งยั่งยืนอย่างเป็นระบบ และจากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อน SMEs ของไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติต่อไปในอนาคต