ฟักทองบัตเตอร์นัท รสชาติดี ปลูก 3 เดือน เก็บผลผลิตขายได้

บัตเตอร์นัท เป็นผลไม้กลุ่มสควอช (Cucurbita moschata) รูปทรงคล้ายน้ำเต้า เป็นฟักทองเทศที่เติบโตเป็นเถา รสชาติหวาน มัน มีสีเหลืองอ่อนและส้ม โดยที่แกนเมล็ดอยู่ด้านล่างของผล เมื่อผ่าออกมาแล้ว จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มขึ้นและจะมีรสหวานขึ้น

คุณทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ) อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 14 บ้านร่องปลาค้าว ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เกษตรกรสาวดีกรีปริญญาโท จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงแม้จะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวได้เพียง 4 ปี แต่ระยะเวลาแค่ 4 ปี ก็สามารถทำให้พี่นิสะสมประสบการณ์มาได้ไม่น้อย

คุณทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ)

พี่นิ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวเกิดจากงานประจำก่อนหน้านี้ พี่นิเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยจบปริญญาโทจากคณะเกษตรศาสตร์ เมื่อเรียนจบได้เข้าทำงานที่ต้องข้องเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีค่อนข้างเยอะ ทำได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการป่วยเรื้อรัง ร่างกายไม่แข็งแรง จึงตัดสินใจลาออกจากงานกลับมารักษาตัวที่บ้านนานนับปี ในช่วงระหว่างพักฟื้นก็คิดไปเรื่อย ว่าจะทำอะไรต่อไปดี ประจวบกับที่ตัวเองชอบการเกษตรและมีพื้นฐานด้านการเกษตรจึงทดลองหันมาปลูกพืชดู

มีพื้นที่น้อย จัดการให้ดี
สามารถปลูกพืชหลายอย่างได้

หลังลาออกจากงาน พี่นิเริ่มจากการปลูกสตรอเบอรี่ เพราะมีพื้นฐานตอนเรียนมาก่อน การปลูกสตรอเบอรี่เริ่มจากการปลูกบนพื้นที่เล็กๆ ปลูกกินเองก่อน พอปลูกกินเองได้ผล จึงเริ่มขยายแปลงปลูก เมื่อขยายแปลงปลูกได้ผลตอบรับดีจากเพื่อนบ้าน และนักเที่ยวที่ผ่านไปมา หลังจากนั้น จึงเริ่มผันตัวมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว เมื่อปลูกสตรอเบอรี่สำเร็จ พี่นิพยายามมองหาพืชผักชนิดอื่นๆ เพื่อมาปลูกหมุนเวียนสร้างรายได้บนพื้นที่เดิม ทดลองปลูกหลายอย่าง และมาจับจุดว่าตัวไหนที่ตัวเองกินแล้วชอบ ก็นำมาเป็นพืชหลักของสวน

“เพราะถ้าเราปลูกในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะไม่กล้าพูดให้ลูกค้าฟังเลย ว่าอะไรอย่างนั้น อย่างนี้ ดังนั้นเราจึงเลือกปลูกที่ชอบเพื่อจะได้กล้าพูดได้เต็มปากว่าผลผลิตเราดีมีคุณภาพและอร่อยได้อย่างสนิทใจด้วย”
พี่นิ ยืนยัน

พื้นที่ทำเกษตรของพี่นิมีไม่มาก แต่สามารถจัดสรรให้ปลูกพืชหลายอย่างได้ พี่นิบอกว่า ช่วงหน้าหนาวพี่นิจะปลูกสตรอเบอรี่ หน้าร้อนปลูกเมล่อน และพืชเสริมตัวล่าสุดคือ ฟักทองบัตเตอร์นัท เพิ่งเริ่มปลูกได้เพียงปีกว่า แต่ถือเป็นพระเอกของสวนในตอนนี้ เพราะสามารถสร้างรายได้ให้พี่นิได้ถึงหลักแสนในระยะเวลาเพียง 3 เดือน

เริ่มแรกที่คิดจะปลูกฟักทองบัตเตอร์นัทเป็นพืชเสริม เพราะไปเห็นที่อื่นเขาปลูก และเห็นว่ารูปทรงแปลกๆ น่ารักดี ตอนนั้นก็ยังไม่รู้รสชาติว่าเป็นยังไง จึงคิดแค่นำมาปลูกไว้ประดับสวนให้สวยงาม

แต่เมื่อปลูกไปสักระยะเริ่มเห็นข้อดีของบัตเตอร์นัท คือมีความทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่าเมล่อน และมีวิธีการปลูกคล้ายกับเมล่อน จึงทำให้คิดที่จะปลูกอย่างจริงจัง เมื่อคิดจริงจังก็ได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม และลองชิมรสชาติดู รสชาติอร่อยถูกใจ และมีคุณค่าทางอาหารสูง สามารถใช้เลี้ยงเด็กอ่อนได้ดี จึงคิดว่าตลาดน่าจะไปได้อีกไกล

ฟักทองบัตเตอร์นัท เป็นพืชสร้างรายได้หลักเข้ามาในขณะนี้ เพราะสามารถปลูกได้ทุกฤดู แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนจะติดดอกน้อย หน้าร้อนจะติดดอกได้ดีและมีลูกดกกว่า ถ้าเป็นหน้าหนาวระยะเก็บเกี่ยวจะนานกว่าหน้าร้อนไปสักหน่อย แต่ก็สามารถปลูกได้ทุกฤดู

ขั้นตอนการปลูกไม่ยุ่งยาก

เริ่มจากการปรับปรุงดิน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ มีการตากดินกวนดินตีดินเหมือนการปลูกพืชทั่วๆ ไป แต่ที่สวนพี่นิเป็นการทำแบบประณีต ทำเป็นแปลงเล็ก ใช้รถพรวนเล็กๆ และมีการใช้ปุ๋ยหมัก…ปุ๋ยหมักจะทำเอง โดยการนำเศษวัชพืช แกลบดิบ และวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นมาหมักทิ้งไว้ จะทำไว้ใช้เองข้ามปี เอามาผสมในดินที่จะใช้เตรียมปลูก

การเตรียมดิน… เตรียมดินตากไว้ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นปรับสภาพดินด้วยการใส่ปูนขาว พร้อมใส่ปุ๋ยหมัก ขี้ไก่ ตีพรวนดินให้ละเอียดขึ้น และยกแปลงตามที่เราต้องการปลูก ในดินหลักๆ ปุ๋ยที่ใช้คือ เป็นขี้ไก่อัดแท่ง เพราะขี้ไก่จะผ่านกระบวนการหมักของโรงงานมาแล้ว อาจจะเป็นดูดมาจากบ่อหมักแก๊ส   

ระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1.20 เมตร ปลูกเป็นแถวเดี่ยวยกร่อง มีการปูพลาสติกคลุมดิน และวางระบบน้ำหยด

ปุ๋ย… ให้ปุ๋ยเคมีละลายน้ำ เมื่อลงปลูกได้ 1 สัปดาห์ ต้นจะเริ่มโต ระหว่างนี้ไม่ต้องทำอะไรกับต้นมาก ให้หันมาเตรียมปักค้าง การปักเว้นระยะ 3-4 ต้น ปักไม้ 1 ท่อน ไม้ที่ปักเป็นไม้ไผ่ ยาวประมาณ 1.50 เมตร แล้วขึงเชือกขวางเพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไปตามเชือก

ระบบน้ำ… เป็นระบบน้ำหยดตอนต้นเล็กๆ ให้น้ำวันละครั้ง เมื่อโตขึ้นให้เพิ่มความถี่ เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จะไม่ให้ครั้งเดียวเยอะๆ จะทำให้สิ้นเปลือง น้ำจะไหลนองพื้นปล่อยทิ้งไปเสียเปล่า

ปุ๋ย… ใส่แบบการคำนวณต่อต้น พื้นที่ 1 ไร่ แบ่งเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 ปลูกประมาณ 2,000-2,500 ต้น ในช่วงแรกจะให้ปุ๋ย 1 กรัม ต่อต้น ต่อวัน เมื่อต้นโตขึ้นจะมีการปรับให้ปุ๋ยมากขึ้นตามความเหมาะสม

 

โรคแมลงที่พบ

ปลูกแบบขึ้นค้างจะพบโรคแมลงได้น้อยกว่าการปลูกเลื้อยดิน ส่วนมากที่พบจะคล้ายกับพืชตระกูลแตงทั่วไป คือโรคราน้ำค้าง ราแป้ง โรคต้นเน่าโคนเน่าพบได้น้อย ค่อนข้างทนกว่าพืชตระกูลแตงทั่วไป ถ้าเกิดขึ้นจะกำจัดด้วยสารเคมีในระยะที่ยังไม่ติดดอกออกผล เมื่อต้นเริ่มแข็งแรงจะงดใช้สารเคมีทันที

ปลูกแบบขึ้นค้าง เทคนิคสำคัญเพิ่มผลผลิต ประหยัดพื้นที่ รูปทรงสวยงาม

การปลูกแบบขึ้นค้าง มีข้อดีหลายข้อด้วยกัน คือ

1. ประหยัดพื้นที่กว่าการปล่อยให้เลื้อยตามดิน เพราะเราสามารถควบคุมการเลื้อยของต้นได้
2. ต้นไม่เบียดเสียดสีกัน ทำให้รูปทรงผลและผิวสวยงาม
3. แมลงรบกวนน้อย
4. ได้ผลผลิตและจำนวนต้นเพิ่มมากขึ้น

ต้นกล้าหลังจากหยอดเมล็ดได้ 5 วัน เริ่มย้ายปลูกได้

หลังลงปลูก 10 วัน เริ่มปักไม้และขึงเชือก 12-14 วัน ผูกเชือกเพื่อยกยอดแต่ละต้นให้ไต่ขึ้นไปตามเชือกในแนวตั้ง

หลังลงปลูก 10 วัน เริ่มปักไม้และขึงเชือก

หลังปลูก 25-30 วัน ดอกตัวเมียพร้อมผสม ช่วยผสมโดยนำเกสรตัวผู้จากดอกตัวผู้มาแต้มที่ดอกตัวเมียที่มีลักษณะผลเล็กๆ ที่ขั้ว จะช่วยทำให้ติดผลดีและดกกว่าปล่อยให้ติดลูกเอง

12-14 วัน ผูกเชือกเพื่อยกยอดแต่ละต้นให้ไต่ขึ้นไปตามเชือกในแนวตั้ง

หลังจากผสมเกสร 7-10 วัน ก็จะติดลูกให้เห็นชัดเจน

ผลเมื่อแก่เต็มที่ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม ขั้วสีเขียวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน อายุนับจากผสมเกสร ประมาณ 40-50 วัน

หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วผลผลิตเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น 2 เดือน

หลังปลูก 25-30 วัน ดอกตัวเมียพร้อมผสมเกสร

ปลูก 3 เดือน เก็บผลผลิตได้
ฟันรายได้หลักแสน

ฟักทองบัตเตอร์นัท เป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก แต่ต้องอาศัยการดูแลและเอาใจใส่ ช่วงหน้าร้อนและหน้าฝนตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยว ใช้เวลา 80-90 วัน หน้าหนาว 100-110 วัน

พี่นิ บอกว่า มีพื้นที่ปลูกฟักทองบัตเตอร์นัท 1 ไร่ จะใช้วิธีการปลูกแบบสลับแปลง แบ่งซอยเป็นรุ่นๆ ให้มีผลผลิตออกต่อเนื่องทุกเดือน ปลูกฤดูฝนให้ผลผลิต 1-3 ลูก ต่อต้น หน้าร้อน 3-5 ลูก ต่อต้น เฉลี่ยกิโลครึ่งต่อต้น… 1 ไร่ เก็บผลผลิตได้ประมาณ 2.5 ตัน 1 รอบการปลูก ทั้งขายผลผลิตและเมล็ดพันธุ์ 1 ตัน สร้างรายได้ 80,000 บาท… 2 ตัน เป็นเงินแสนกว่าบาท

หลังจากผสมเกสร 7-10 วัน ก็จะติดลูกให้เห็นชัดเจน

ต้นทุนหลักหมื่น
รายได้หลักแสน

ผู้เขียนถามกับพี่นิว่า….ผลตอบแทนดีขนาดนี้ ต้นทุนค่าใช้จ่ายเยอะตามไปด้วยไหม

พี่นิ บอกว่า มาเดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟัง คือ 1 ไร่ ปลูกได้ 2,500 ต้น ถ้าเราคิดทุกอย่าง ค่าเมล็ดพันธุ์ เมล็ดละ 2 บาท เป็นเงิน 5,000 บาท ปุ๋ย 1 รอบการปลูก ใช้ 3 กระสอบ กระสอบละ 2,500 บาท เป็นเงิน 7,500 บาท ต่อไร่ ค่าน้ำไม่เสียเพราะดูดจากสระ ค่าไฟ 500 บาท ค่าแรงจ้างมาเตรียมดิน รวมแล้วเกิน 10,000 บาท ไม่มาก แต่ถ้าเริ่มปลูกครั้งแรกจะมีค่าไม้ปักค้างและเชือกขึงค่อนข้างหลายบาท แต่รุ่นต่อไปจะสบายละ เพราะสามารถใช้ได้นานนับปี

ผลเมื่อแก่เต็มที่ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม ขั้วสีเขียวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน

การตลาดไปได้สวย ปลูก 1 ไร่ ผลผลิตไม่พอขาย

พี่นิ ขายฟักทองบัตเตอร์นัท ในราคากิโลกรัมละ 80 บาท 1 ลูก น้ำหนัก 5-10 ขีด ตลาด ณ ปัจจุบัน ถือว่ากำลังไปได้ดี เป็นลูกค้าออนไลน์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เพจเฟซบุ๊กเป็นตัวโปรโมทและสื่อสารกับลูกค้า และถือเป็นการเล่าเรื่องราวว่าตอนนี้ที่สวนเรามีผลผลิตอะไร กำลังปลูกอะไรอยู่ การเจริญเติบโตไปถึงไหนแล้ว ลูกค้าก็จะรู้ความคืบหน้าของสวนเรา และถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ พอใกล้จะมีผลผลิตเขาจะเริ่มจองกันเข้ามา ลูกค้าจะเข้ามาสั่งกันเรื่อยๆ สั่งจนหมด ในระยะ 1 ปีกว่าที่ขายมา ยังไม่เคยได้นำผลผลิตออกไปขายข้างนอกเลย เพราะลูกค้าทางออนไลน์สั่งก็หมด ไม่พอขายแล้ว

นอกจากการขายผล พี่นิยังมีเมล็ดพันธุ์ฟักทองบัตเตอร์นัทขาย โดยการต่อยอดจากสิ่งที่เรียนมา นำมาพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตอนแรกที่พี่นิเริ่มปลูกได้สั่งเมล็ดพันธุ์ทางออนไลน์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และพบปัญหาคือ ปลูกแล้วผลผลิตเพี้ยนค่อนข้างเยอะ อาจเป็นด้วยปัจจัยทางสภาพอากาศ จึงได้ทดลองปลูกและเก็บข้อมูลหาข้อบกพร่องเพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์เพื่อปลูกในครั้งต่อไป ซึ่งตอนนี้พี่นิก็ทำสำเร็จแล้ว เมล็ดพันธุ์ค่อนข้างสมบูรณ์ พบการเพี้ยนได้น้อยมาก หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อซื้อที่พี่นิได้โดยตรง ราคาจำหน่าย เมล็ดละ 2 บาท

สนใจสอบถามข้อมูลวิธีการปลูก หรือสนใจเมล็ดพันธุ์ฟักทองบัตเตอร์นัท ติดต่อ คุณทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ)  ได้ที่เบอร์โทร. 0818857747

หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ผลผลิตเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น 2 เดือน