เกาหลีใต้ เดินตลาดเตือนใจตน

          ฉันไปเกาหลีใต้ครั้งสุดท้ายเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก่อนข่าวเรื่องการจัดการพบปะญาติระหว่างคนเกาหลีใต้กับคนเกาหลีเหนือครั้งแรกในรอบหลายปีจะเกิดขึ้น

          ระหว่างนั่งรถเที่ยว ฉันเฝ้ามองรั้วลวดหนามยาวสุดลูกหูลูกตาที่กั้นระหว่างพรมแดนเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ดูค่ายคูประตูหอรบ รถถัง รถจี๊ป ที่จอดเรียงรายตามแนวชายแดนที่กั้นแผ่นดินเดียวกันให้เป็น 2 ประเทศ แบ่งคนเชื้อชาติเดียวกัน สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษเดียวกัน ให้ห่างไกลกัน

          แนวชายแดนที่ว่านั่นไม่ได้อยู่ไกลลับตาจนเราแสร้งไม่รับรู้ หากแต่อยู่ใจกลางประเทศนั่นเอง แค่เดินทางจากสนามบินเข้ากรุงโซลก็เจอรั้วลวดหนามเรียงเกือบตลอดแนว ดูแล้วก็คิดว่าคนเกาหลีอีกฝั่งเขาจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไร เขาจะมองเราอยู่หรือเปล่า

          และที่สำคัญ ฉันสงสัยตลอดมาว่าคนเกาหลีทั้ง 2 ฝั่ง เขารักกันหรือเปล่า

          แต่เวลาที่เราเที่ยวท่องไปในเกาหลีใต้ ความเจริญทันสมัย แสงสีเสียงอะร้าอร่ามก็มักจะทำให้เราลืมไปว่า แค่มือเอื้อม ก็มีเกาหลีอีกแผ่นดินหนึ่งซึ่งผิดกับเกาหลีที่เราเห็นหน้ามือเป็นหลังมือ

          คนไทยที่ไปเที่ยวเกาหลีใต้ทุกคนรู้จักตลาดเมียงดง และผู้หญิงไทยทุกคนชอบซื้อเครื่องสำอางเกาหลีมาก เครื่องสำอางชื่อดังอย่าง Etude House หรือ skin food นั้นมีหลายสาขาจนตาลาย ร้านกระจายเกลื่อน เรียกว่าหันไปไหนก็เจอ อย่าหวังจะพ้น

          

          

          เครื่องสำอางที่เมียงดงนั้น ราคาถูก ทั้งแจกทั้งแถม มีคนขายพูดภาษาไทยได้ด้วย คนไทยจึงไหลคึ่กๆๆๆ เข้าไปยังกะโดนหลุมดำดูด แต่เครื่องสำอางเกาหลีดีแท้ดีจริง ใช้กันไปเถอะ ราคาไม่แพงและคุณภาพดีทีเดียว มันเหมาะกับสภาพผิวของคนเอเชียดีกว่าเครื่องสำอางจากตะวันตกเยอะแยะ แล้วเขาปล่อยให้ลองกันจนฉ่ำใจอีกต่างหาก

          แต่เกาหลีไม่ได้มีแค่ร้านรวงติดแอร์เย็นฉ่ำไว้เป็นหลุมดำดูดเงินนักท่องเที่ยวเท่านั้น ตลาดจริงๆ วิถีชาวบ้านจริงๆ ของเขาก็มีอยู่มากมาย แต่นักท่องเที่ยวมักไม่มีโอกาสได้ชื่นชม ฉันชอบแบบหลังนี้มากกว่า พูดขำๆ กับเพื่อนว่า ไปเที่ยวตลาดชาวบ้านๆ นี่ดี ไม่ค่อยเจอคนไทย

          เวลาคนไทยเข้าร้านเครื่องสำอางหรือห้างสรรพสินค้าในเกาหลี เจี๊ยวจ๊าวไม่ต่างกับที่เราชิงชังนักท่องเที่ยวจีนนักหรอก ฉันบอกให้

          

          

          ตลาดชาวบ้านๆ ที่เกาหลียังมีอีกเยอะ หมู่บ้านชาวประมง ทำปลาตากแห้งเขาก็ยังมี ขายผักปลูกเองซึ่งปลอดเคมีและขนาดใหญ่กว่าผักเมืองไทยมากนักก็ยังมี สาหร่ายทะเลธรรมชาติที่เกาหลีก็เริ่ดอย่าบอกใคร คือชาวบ้านที่เขาทำการเกษตรหรือการค้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมี เขาไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมไปเสียหมด

          หาเวลาไปเดินดูไปสัมผัสความเป็นเกาหลีแท้ๆ เสียบ้าง ไม่ใช่ไปตามที่ไกด์ชี้นิ้วอย่างเดียว เดินทางออกนอกเส้นทางนั้นไม่ยาก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกน่า

          แน่นอนว่า ทุกตลาดชาวบ้านในเกาหลีก็ต้องมีกิมจิเป็นธรรมเนียม กิมจิมีที่มาจากการรักษาอาหารของเขาในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เขาว่ากันว่าตอนสงครามอันยาวนานคนเกาหลีกินข้าวกับกิมจินี้เท่านั้นและอดทนจนผ่านพ้นสงครามมาได้ คนเกาหลีจึงขึ้นชื่อเรื่องความอดทนนักหนา

          แต่ฉันว่าคนรุ่นใหม่ของเขาก็เหมือนคนรุ่นใหม่ของทั่วโลก คือเริ่มเหยาะแหยะ รักสวยรักงาม ถามหาความอดทนชักยากขึ้นทุกที

          

          ที่เกาหลีนี่เวลาหนาวๆ ก็หนาวสะเด่านัก เพราะเขาอยู่ค่อนไปทางซีกโลกเหนือแล้ว เพื่อนฉันคนหนึ่งบ้านมีสระว่ายน้ำ พอใกล้ฤดูหนาวต้องรีบระบายน้ำออกหมด เพราะถ้าเผลอ แค่ข้ามคืนน้ำก็จะแข็งแล้วจะมีแรงดันทำให้สระน้ำแตกทันที เจอกันแบบนี้มีหลายบ้านแล้ว

          เดินตลาดเกาหลีครั้งก่อนๆ ฉันฉงนนักหนาว่าทำไมคนเกาหลีซึ่งดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี กลับคุยกับคนเกาหลีอีกฝั่งหนึ่งไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดนมาแบ่งแยกแผ่นดินแบ่งแยกญาติพี่น้องของตัวเอง จนถึงวันนี้ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ทำไมเขาคุยกันภาษาเดียวกันแท้ๆ ฉันเกลียดชังนิสัยคนเกาหลีตรงนี้ ฉันว่าเขาเอาชนะคะคานกันมากเกินไปจนไม่ลดราวาศอกใส่กัน ทำให้สันติภาพไม่บังเกิด

          แล้วไงล่ะ ตอนนี้พี่ไทยเราดีกว่าเขาที่ตรงไหน?