เธอทำได้ไง จากค่าแรงชั่วโมงละ 400 บาท สู่รายได้ปีละ 250 ล้านบาท!!!

หนทางสู่ความร่ำรวยของแต่ละคน อาจไม่เหมือนกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่เศรษฐี มหาเศรษฐี มักจะตอบเหมือนกันก็คือ พวกเขาเริ่มจากทำสิ่งที่ตัวเองรัก หรือถนัด แล้วจากนั้น “เงิน” มันจะตามมาเอง

เช่นเดียวกับ “มาร์นี่ อุสเลอร์” หญิงอเมริกันวัย 36 ที่สร้างตัวจากการทำงานด้วยรายได้ชั่วโมงละ 11 ดอลลาร์ (401 บาท) จนกระทั่งทุกวันนี้เธอเป็นเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้านที่สร้างรายได้ให้เธอถึงปีละ 7,000,000 ดอลลาร์ หรือราว 250,000,000 บาท ก็เพราะเธอค้นพบว่า นี่คืองานที่เธอรัก และมีความถนัดที่สุด

มาร์นี่ เล่าว่า เธอเริ่มซื้อบ้านหลังแรกเมื่อปี พ.ศ.2547 ตอนอายุ 24 ปี เป็นบ้านพักในเมืองเบทานี บีช รัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา ที่ครอบครัวเธอเคยไปเที่ยวพักตอนเธอเป็นเด็ก โดยใช้เงินเก็บทั้งหมดที่เธอมีวางดาวน์ไป 18,000 ดอลลาร์ (ราว 642,600 บาท ) เป็นเงินเก็บที่มาร์นี่ เล่าว่า “มาจากการทำงานด้วยค่าแรงชั่วโมงละ 11 ดอลลาร์ (ราว 400 บาท) และงานรับจ้างให้อาหารแมว งานรับจ้างล้างรถ ที่ฉันเคยทำและการกินอยู่อย่างประหยัดอยู่ถึง 2 ปี”

มาร์นี่ เล่าว่า เธอตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้เพราะเห็นว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับเธอเลย ที่เธอตัดสินใจลงทุนซื้อบ้านด้วยเงินเก็บทั้งหมด “ทุกคนต่างว่าฉันบ้า แต่ฉันก็ซื้อและลงมือซ่อมแซมบ้านด้วยตัวเอง เพราะไม่มีเงินเหลือพอที่จะจ้างช่างที่ไหน”

มาร์นี่ เล่าว่า เธอพอจะมีทักษะด้านงานช่างที่ได้เรียนรู้มาจากพ่อ ซึ่งมีธุรกิจรับเหมาสร้างบ้านอยู่ชานกรุงวอชิงตัน ดีซี เธอจึงเริ่มลงมือซ่อมแซมบ้านจากการรื้อพรมปูพื้น และชวนเพื่อนๆ มาช่วยกันทาสีบ้านใหม่ แล้วเธอยังลงทุนนั่งตากแดดตากฝน โรยหินกรวดทำเป็นทางถนนนอกบ้านด้วย 2 มือเปล่าของเธอเอง เพราะต้องการประหยัดเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  แล้วผลที่ออกมามันก็ช่าง “คุ้มค่า” กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอลงทุนลงแรงทำไป เพราะ 9 เดือนต่อมา เธอก็สามารถขายบ้านหลังนี้ได้เงินมา 350,000 ดอลลาร์ (ราว 12,495,000 บาท )

นอกจาก “ได้เงิน” มาร์นี่ยัง “ได้ใจ” เพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เธอมีความสนใจและความถนัดเกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจหางานใหม่เป็นพนักงานขายบ้านให้กับบริษัทรับสร้างบ้านแห่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นเธอก็นำเงินที่ได้จากการขายบ้านหลังแรกไปลงทุนซื้อบ้านหลังใหม่ในทำเลที่ดีกว่าเก่า และอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าเดิม แล้วยังลงทุนสร้างบ้านของเธอเองตรงที่ดินบริเวณนั้นด้วย

3

บ้านพักริมทะเล หนึ่งในผลงานของ บริษัทมาร์นี่ โฮมส์

“มักจะมีคนเข้ามาติดต่อ และบอกฉันว่าคุณเก่งเรื่องบ้าน คุณช่วยสร้างบ้านให้เราหน่อยได้มั้ย? ฉันก็มักจะตอบไปว่า ไม่ได้หรอก เพราะฉันมีงานประจำอยู่ และที่ฉันสร้างบ้านก็เพราะฉันจำเป็นต้องมีบ้านอยู่ เพราะฉันยังไม่มีบ้านของตัวเองเลย”

มาร์นี่ เล่าว่า หลังจากสร้างบ้านหลังนั้นเสร็จ เธอก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น 2 ปี จากนั้นก็ขายบ้านหลังนั้นไปในปี พ.ศ. 2549 และซื้อบ้านอีกหลังที่อยู่ใกล้ทะเลมากเข้าไปอีก ครั้งนี้เองที่ทำให้มาร์นี่ยิ่ง “มั่นใจ” ว่าเธอน่าจะเอาดีในธุรกิจซื้อขายบ้านได้ และเชื่อมั่นว่า นี่เป็นธุรกิจที่มีอนาคต ในปี พ.ศ. 2550 เธอจึงโทรศัพท์ไปหาสามีภรรยาที่เคยทาบทามเธอ ตอนที่เธอกำลังสร้างบ้านของตัวเองให้สร้างบ้านให้พวกเขา ว่าพวกเขายังต้องการให้เธอสร้างบ้านให้อีกหรือเปล่า? เมื่อ 2 สามีภรรยา “เซย์ เยส” มาร์นี่ก็โทรศัพท์หาพ่อเพื่อถามถึงวิธีประเมินราคาค่าก่อสร้างบ้าน

“ฉันยังจำที่พ่อพูดได้ว่า แกโง่หรือเปล่านี่มันปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ.2550)!!! ไม่มีใครกล้าลงทุนทำธุรกิจตอนนี้หรอก แกอย่าทำเชียวนะ แต่ฉันก็ไม่ฟัง และตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาตั้งบริษัทของตัวเอง”

และนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “บริษัทมาร์นี่ โฮมส์” บริษัทรับเหมาก่อสร้างในเมืองเบทานี่ บีช รัฐเดลาแวร์ ที่นอกจาก มาร์นี่แล้ว ก็ยังมีพนักงานประจำอีก 3 คน โดยบริษัทมีผลงานสร้างบ้าน 7 หลังต่อปี ส่วนใหญ่เป็น “บ้านหลังที่สอง” และบ้านหลังแรกที่เจ้าของตั้งใจจะมาใช้ชีวิตอยู่หลังเกษียณ นอกจากงานสร้างบ้าน มาร์นี่ก็ยังรับงานเกี่ยวกับงานตกแต่งออฟฟิศด้วย

ในปีแรก บริษัทมาร์นี่ โฮมส์ สามารถทำรายได้ 450,000 ดอลลาร์ (ราว 16,065,000 บาท) และมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี กระทั่งใกล้สิ้นปี 2558 บริษัทมีรายได้เกือบ 7,000,000 ดอลลาร์ หรือราว 250,000,000 บาท

ที่สำคัญ มาร์นี่ ยังเล่าว่า เธอรู้สึกสนุกและมีความสุขในการทำงานมาก เพราะแต่ละวันไม่มีอะไรที่ซ้ำซาก จำเจเลย “โดยทั่วไปฉันจะอยู่ในออฟฟิศครึ่งวัน ส่วนอีกครึ่งวันก็จะออกไปข้างนอก แต่ละวันฉันจะโทรศัพท์ติดต่อพูดคุย และนัดพบกับลูกค้าเยอะมาก ฉันยังดูเรื่องงบประมาณในการก่อสร้างบ้านทุกหลัง และประเมินราคาค่าก่อสร้างเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาจากการบริหาร สร้างบ้านแต่ละหลัง ได้ออกไปดูวัสดุเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้าง แล้วยังดูงานตกแต่งภายใน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมฉันจึงรักงานนี้ เพราะบางวันฉันก็ไม่ได้ก้าวออกจากออฟฟิศเลย แต่บางวันฉันก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย มันสนุก เพราะทุกวันมันไม่มีอะไรซ้ำกันเลย”

เครดิตภาพจาก  www.businessinsider.com