แป้งเอแคลร์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เจ้าเดียวในไทย ลดการนำเข้าแป้งสาลี

พูดถึง “เอแคลร์” เชื่อว่าคงเป็นขนมโปรดของใครหลายคน แต่สำหรับคนที่ต้องการลดแป้งและน้ำตาลอาจจะไม่กล้ารับประทานหลายชิ้น ดังนั้นเพื่อเอาใจคนรักสุขภาพ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด  จึงผลิตแป้งสำเร็จรูปสำหรับทำเอแคลร์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่  ซึ่งมีรางวัลการันตี โดยได้รับรางวัลที่2 ในการประกวด“รางวัลนวัตกรรมข้าวไทย ประจำปี 2558 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา” ของมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช.

img_3163

ลดการนำเข้าแป้งสาลี

  ดร.ลลานา ธีระนุสรณ์กิจ ผู้บริหารของบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด แจกแจงว่า  แป้งสำเร็จรูปสำหรับทำเอแคลร์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่นี้ เป็นการนำแป้งข้าวไรซ์เบอรี่มาทดแทนการใช้แป้งสาลี 100% ทำให้มีคุณสมบัติทางโภชนการสูง และเมื่อใช้ผสมกับแป้งข้าวโพดก็จะไม่แข็งกระด้าง อีกทั้งแป้งดัดแปรช่วยให้ความคงตัวของเปลือกไรซ์เบอร์รี่เอแคร์ไม่ยุบตัวหลังจากที่ผ่านการอบที่อุณหภูมิสูง และยังช่วยเพิ่มคุณสมบัติในการอุ้มน้ำทำให้เนื้อสัมผัสมีความยืดหยุ่น

           แป้งดังกล่าวยังไม่มีเจ้าไหนทำ บริษัทเป็นผู้ผลิตรายแรกและรายเดียวในประเทศ  ปัจจุบันขายแบบBtoB ให้กับบริษัทที่ทำเบเกอรี่ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น และในอนาคตจะผลิตแป้งแพนเค้กที่ใช้ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นวัตถุดิบ    ซึ่งการใช้ข้าวของไทยจะทำให้ลดการนำเข้าแป้งสาลีจากต่างประเทศ อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย

ทั้งนี้ในส่วนต้นทุนการผลิต 96 บาท/กิโลกรัม(กก.) ราคาขาย 124 บาท/กก. สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากแป้งข้าว
ไรซ์เบอร์รี่ราคา 20 บาทต่อกก. เป็นแป้งสำเร็จรูปสำหรับทำเอแคลร์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ราคา 124 บาทต่อกก.

ในขณะที่การตลาดเบเกอรีในไทยปี 2557 มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่อง 10-15% ยิ่งช่วงหลังตลาดเบเกอรีโฮมเมด ประเภทรับสั่งทำตามออร์เดอร์บูมมากขึ้นก็ยิ่งทำให้การเติบโตของตลาดสูงตามไปด้วย

img_8183

0000ตั้งศูนย์พัฒนานวัตกรรม

ดร.ลลานาในฐานะผู้บริหารเจนเนอเรชั่นที่สองของบริษัทดังกล่าวท้าวความให้ฟังถึงความเป็นมาของบริษัทว่า เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี2501 โดยคุณวิจัย วิภาวัฒนกุล และคุณตง ธีระนุสรณ์กิจ ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ “หจก.กิมจั๊วพานิช” เพื่อเป็นตัวแทนในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จำพวก เนย และชีส ต่อมาได้ขยายธุรกิจ โดยก่อตั้งโรงงานแห่งแรกขึ้น ชื่อ “บริษัท ยูไนเต็ดแดรี่ฟู๊ตส์ จำกัด” ผลิตเนย และชีส ภายใต้แบรนด์ Allowrie

อีกทั้งยังตั้ง โรงงานผลิตคุ้กกี้ขึ้น ชื่อ “บริษัท อิมพีเรียลเยนเนอรัลฟู๊ตส์อินดัสทรี จำกัด”  เมื่อตลาดเติบโตขึ้นและทางบริษัทมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น  จึงอยากทำธุรกิจแบบครบวงจร  เลยตั้ง ฟาร์มโคนม ชื่อ “บริษัท ยูไนเต็ดแดรี่ฟาร์ม จำกัด” เพื่อส่งวัตถุดิบให้แก่โรงงาน นำไปผลิตนมสดและโยเกิร์ต

พร้อมกันนั้นได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของต่างประเทศ ก่อตั้งเป็น “บริษัท อิมพีเรียลสเปเชี่ยลตี้ฟู๊ตส์ จำกัด” เพื่อผลิตน้ำผลไม้เข้มข้นในแบรนด์ “ซันควิก”  ขณะที่ช่วงนั้นตลาดเบเกอร์รี่ในประเทศมีการขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเปิดอีกบริษัทชื่อ “อิมพีเรียลเบเกอร์รี่อีควิบเม้นต์ จำกัด” เพื่อนำเข้าและจำหน่าย อุปกรณ์และเครื่องจักรในการทำเบเกอร์รี่ และ “โรงเรียนศิลปการทำเบเกอร์รี่และอาหาร(ไอบาฟ)” เพื่อสอนให้กับผู้สนใจและลูกค้าได้เรียนรู้การทำเบเกอร์รี่และอาหาร

ต่อมาในปี พศ. 2554 ได้มีการ Re-Branding จาก “หจก กิมจั๊วพานิชย์ จำกัด” เป็น “บริษัท กิมจั๊วกรุ๊ป จำกัด”  กระทั่งในปี พศ.2555 ได้เปิดโรงงาน ยูไนเต็ตแดรี่ฟู๊ตส์ แห่งที่ 2 ที่เทพารักษ์ รวมทั้งเปิด KCG Excellence center อันเป็นศูนย์ในการพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมของทางบริษัท และในปี พศ. 2557 ได้ควบรวมบริษัทในเครือทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด” เพื่อรองรับการเข้าสู่ตลาดหุ้นต่อไป

เธอว่า  ผู้สนใจจะทานเอแคลร์ไรซ์เบอร์รี่ตอนนี้มีวางขายที่ 7-11 ส่วนโดนัทไรซ์เบอร์รี่ ที่วางขายที่ดังกิ้น โดนัท, คุ้กกี้ไรซ์เบอร์รี่ วางขายที่กรูเม่ต์ มารร์เก็ต, เดอะ มอลล์ ถ้าในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เป็นของบริษัทที่น่าสนใจ ตอนนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เช่น ชีสสามเหลี่ยมแคลเซียมสูงที่สามารถรับประทานได้เลย เหมาะสำหรับเป็นของดิน้ล่นสำหรับเด็ก หรือทานคู่กับขนมปัง ,  เนยที่มีไขมันทรานส์ 0% และเป็นเนยที่สามารถทาได้เลยเมื่อออกจากตู้เย็นไม่ต้องรอให้เนยละลาย ตอบสนองต่อ ไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ ก่อนที่จะนำมาทาขนมปัง  Allowrie Cheese squeeze เป็นชีสที่สามารถบีบได้เลยจากขวดสะดวกต่อการรับประทาน สามารถนำไปทอปปิ้งได้มากมาย

นอกจากนี้ทาง เคซีจี ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายหลายอย่าง เช่น มาการีน 0%Transfat ;  มายองเนสและสลัดครีม 0% คอเรสเตอรอล; 0% transfat  ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัททางผู้บริโภคสามารถซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วไป เช่นบิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส, ท๊อปส์, กรูเม่ต์ มาร์เก็ต , 7-11, แมคโครและแม็กซ์ วาลู

industry-bakery-520x2951

จับมือกับสถาบันการศึกษา

ดร.ลลานามองว่า  การได้รับรางวัลในครั้งนี้ น่าจะทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงเอแคลร์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่   และน่าจะทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและทานเอแคลร์ไรซ์เบอร์รี่เพิ่มมากขึ้น  โดยตอนนี้ทางบริษัทมีการขายแป้งเอแคลร์ไรซ์เบอร์รี่ให้กับ บริษัท โบว์เบเกอร์รี่ เพื่อผลิตและจัดส่งขายใน เซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งจะขายในร้าน คัดสรร และบิลลินี่ โดยสินค้าเริ่มมีการวางขายตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสินค้าดังกล่าวหากจะหาคู่แข่งในท้องตลาดโดยตรงนับว่ายากมากเนื่องจากเป็นสินค้านวัตกรรมทางด้านสุขภาพ แต่หากจะหาคู่แข่งทางอ้อมนั้นถือว่ามากมายเลยทีเดียว และนั่นคือโจทย์หนึ่งที่ท้าทายที่สุดของบริษัท

ในการทำแป้งเอแคลร์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่นี้ ดร.ลลานาระบุว่า ปัญหาอย่างหนึ่งที่เจอคือ เรื่องวัตถุดิบทางการเกษตร ดังนั้นจึงต้องมีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ  ส่วนในด้านของการตลาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ ถือเป็นสินค้าสุขภาพ ที่ค่อนข้างใหม่ จึงต้องมีแผนการตลาดที่ค่อนข้างรัดกุม แต่ในอีกทางหนึ่ง เคซีจีฯ ค่อนข้างโชคดี ที่ได้ร่วมมือกับทางมูลนิธิเพื่อนพึ่งภาฯ ซึ่งเป็นศูนย์การในการชักชวนบุคคลากรจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เข้ามาช่วยกันในการส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์นี้มีความโดดเด่นและเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคเป็นวงกว้างภายใน 2-3 ปีนี้

ดร.ลลานายังบอกด้วยว่า  ที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมมาก โดยทางคณะผู้บริหารตระหนักดีว่าการที่ธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนจะต้องนำนวัตกรรมมาต่อยอดธุรกิจ  และให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเป็นอย่างมาก จึงได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้น หรือเรียกว่า KCG Excellence center เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

  นอกจากนั้นทางบริษัทยังได้ทำ MOU กับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อาทิเช่น    คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น เพื่อนำความรู้หรืองานวิจัยเชิงลึกมาขยายผลและต่อยอด อีกทั้งยังร่วมมือกับ คู่ค้าจากต่างประเทศมากมาย เพื่อนำความรู้ที่ได้มาบูรณาการและพัฒนาสินค้าเพื่อให้สินค้าของเคซีจีให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด

“ จริงๆแล้วสินค้านวัตกรรม ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นสินค้าใหม่ ของดั้งเดิมตั้งแต่บรรพบุรุษก็สามารถกลายเป็นนวัตกรรมได้ หากแต่ผ่านการต่อยอดพัฒนาจากความคิดที่สร้างสรรค์ จนมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น หรือแตกต่างจากที่มีอยู่เดิม นั่นก็ถือเป็นนวัตกรรมชั้นยอดได้ เพราะจริงๆแล้ว  ภาพสะท้อนความเป็นสินค้านวัตกรรม ถือเป็น Blue ocean เนื่องจากเป็นการฉีกรูปแบบของสินค้าภาพเดิมๆ รวมถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้อย่างดีเยี่ยม  นวัตกรรมจึงนำมาสู่การสร้างโอกาสและช่องทางใหม่ๆที่ต่างออกไป”

ไม่หวั่นผู้ประกอบการอื่นก๊อปปี้

ขณะเดียวกันการทำตลาดนอกจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อขายสิ่งใหม่ๆแล้ว  ยังต้องมองถึงการ ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสินค้านั้นๆให้กับผู้บริโภคด้วย แผนธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยฝ่ายการตลาดจะต้องมองถึง โอกาสทางการตลาดเพื่อดูความเป็นไปทางการตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าสินค้านั้นจะสามารถทำส่วนแบ่งการตลาดได้หรือไม่  เวลาที่จะเปิดตัวสินค้า ตรงความต้องการของผู้บริโภคในขณะนั้นหรือไม่

กับคำถามที่ว่ากลัวหรือไม่ที่จะมีผู้ประกอบการรายอื่นทำเลียนแบบ ดร.ลลานาตอบชัดเจนว่า   ดีใจด้วยซ้ำหากมีผู้ผลิตที่หันมาใส่ใจที่จะพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น หรือหันมาส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากข้าวไทยที่จะทำให้ธุรกิจในอาหารประเภทนี้เติบโตและเกิดกระแสนิยม ซึ่งนอกจากผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคแล้ว ยังเป็น Value chain ที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในอุตสาหกรรมไทย ถือเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ทั้งนี้สิ่งที่จะทำให้บริษัทเหนือคู่แข่งคือ นวัตกรรม โดยทาง KCG Excellence Center มีทีมงาน R&D กว่า 20 ชีวิตที่มีศักยภาพและมีแผนการทำงานที่เอื้อให้เกิดการนวัตกรรมนั้น จัดเป็น KCG model ที่ทาง KCG สร้างขึ้น เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ และทำให้เกิดการประกอบธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป

 ดร.ลลานายังเล่าถึงแผนการทำงานของ KCG Excellence Center ว่า มีการวางแผนงานวิจัยล่วงหน้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งโครงการหลักๆคือการได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยร่วมกับมูลนิธิเพื่อนพึ่งภาฯ และยังมีโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำมันชาของโครงการภัทร์พัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ช่วยบูรณาการทั้ง Value chain และช่วยเหลือประเทศชาติไปด้วย

 พร้อมกันนั้นทาง เคซีจีมีแผนการที่จะผลักดันสินค้าทั้งสองกลุ่ม ออกตลาดให้ได้ภายในปี 2559   เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยนำนวัตกรรมเข้ามาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าต่อไป ซึ่งสินค้าตัวแรกที่ทางบริษัทตั้งใจจะวางผลิตภัณฑ์ให้ได้ภายในปีหน้าคือ ผลิตภัณฑ์แป้งแพนเค้กมิกส์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่

นับเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่เน้นการแปรรูปข้าวไรซ์เบอร์รี่เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ทำให้บรรดาพวกรักสุขภาพทั้งหลายรับประทานได้อย่างสบายใจ