ผู้เขียน | ดวงกมล โลหศรีสกุล |
---|---|
เผยแพร่ |
นับเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิดให้บริการมายาวนานเกือบ 50 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังมากเรื่องลูกชิ้นปลาสำหรับร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ ว่ากันว่าคนที่ชอบทานลูกชิ้นปลามักจะรู้จักกันดี มีเพียง 2 สาขา คือ สาขาบางขุนนนท์ และ สาขาพุทธมณฑลสาย 4
เส้นทางเศรษฐีออนไลน์พาไปทำความรู้จัก คุณสมชาติ สาลีพัฒนา หรือ “นายเงี๊ยบ” เจ้าของร้าน
นายเงี๊ยบ เล่าว่า มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ตนเป็นลูกชายคนโต เป็นคนจีนแต้จิ๋ว ในสมัยเด็กรับหน้าที่ดูแลร้านขายของชำ เป็นกิจการเล็กๆ ของครอบครัว ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดเจ้าพ่อเสือ (ใกล้เสาชิงช้า จ.กทม.) ด้วยความที่ชอบรับประทานลูกชิ้นปลามาก เวลาว่างต้องออกไปแสวงหาร้านอร่อย ในละแวกบ้านกินเกือบทุกร้าน กระทั่งวันหนึ่งเจอผู้ใหญ่ใจดีให้สูตรการทำลูกชิ้นปลา จึงนำสูตรที่ได้มาปรับปรุง จนกระทั่งมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก ในที่สุดเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ตั้งชื่อร้านว่า “นายเงี๊ยบ” ตั้งแต่ พ.ศ.2515
ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ สาขาแรกตั้งอยู่ละแวกบางขุนนนท์ เป็นเพียงตึกอาคารพาณิชย์ 1 คูหา จุดเด่น คือ ลูกชิ้นปลาอร่อย ใช้เนื้อปลาแท้ ไม่ผสมแป้ง ทำขายวันต่อวัน ลูกค้าบอกต่อปากต่อปาก กระทั่งผ่านไป 3 ปี เจ้าของร้านตัดสินใจขยายสาขาเพิ่ม เหตุผลเพราะลูกค้าเยอะมาก
“ผมเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว โดยลูกชิ้นปลาทำเอง จุดเด่น คือ ทำสดปั้นมือ ขายวันต่อวัน ลูกค้าชอบ แวะมาอุดหนุนสม่ำเสมอ ผ่านไป 3 ปี ตัดสินใจขยายสาขาเพิ่ม ที่พุทธมณฑลสาย 4 ในวันที่ 28 ธันวาคม 2527 จนถึงปัจจุบัน”
สำหรับจุดเด่นลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบที่มัดใจลูกค้ามานาน 5 ทศวรรษ คือ ใช้เนื้อปลาสด 3 ชนิด คือ เนื้อปลาอินทรี เนื้อปลาหางเหลือง และเนื้อปลาดาบลาว ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่สารกันบูด ปราศจากสารบอแรกซ์ ปั้นด้วยมือคน ไม่ใช้เครื่องจักร มั่นใจได้ว่าลูกชิ้นไม่อมน้ำ ไม่อมอากาศ ผลิตขายวันต่อวันไม่มีเหลือ
ด้านแหล่งซื้อปลา นายเงี๊ยบ บอกว่า ซื้อปลาจากมหาชัย จ.สมุทรสาคร ปัจจุบันรับวันละเป็นพันกิโลกรัม ขายมานาน 50 ปี รสชาติไม่เคยเปลี่ยน ลูกค้าบางคนกินตั้งแต่เล็กจนมีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์เยอะมาก แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่ขายแฟรนไชส์แน่นอน
นอกจากทีเด็ด คือ ลูกชิ้นปลา ปัจจุบันร้านนายเงี๊ยบที่สาขาพุทธมณฑลสาย 4 มีบริการเครื่องดื่ม เบเกอรี่ ไอศกรีม เเละบิงซู บริหารงานโดยลูกชายคนเดียว คือ คุณธนกร สาลีพัฒนา
คุณธนกร เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากงานทีสิส หรือวิทยานิพนธ์ สมัยที่เรียนปริญญาโท ตอนอายุ 40 ปี ด้วยความสงสัยในรสชาติของกาแฟ ดั้นด้นไปดูกระบวนการปลูก อุณหภูมิในการคั่วเมล็ดกาแฟ กรรมวิธีการชง การเก็บรักษา ศึกษาไปจนกระทั่งเกิดความรู้สึกหลงรัก ในที่สุดสร้างเป็นธุรกิจขึ้นมา
คุณธนกร บอกต่อว่า เปิดร้านกาแฟในปี 2555 ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ซื้อแฟรนไชส์เด็ดขาด คอนเซ็ปต์ร้านเน้นเรื่องคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกาแฟนั้นมีทั้งคุณประโยชน์และโทษ ยกตัวอย่าง เมล็ดกาแฟที่คั่วนานเกินไป จะเป็นโทษต่อร่างกาย จึงยอมลงทุนซื้อเครื่องคั่วกาแฟจากประเทศตุรกี คั่วในอุณหภูมิที่พอเหมาะได้กาแฟที่ดีต่อสุขภาพ
“ผมเลือกใช้กาแฟอาราบิการ้อยเปอร์เซ็นต์จากเชียงราย คั่วเองด้วยความร้อนตั้งต้น 120 องศาเซลเซียส จบที่ความร้อน 180 องศาเซลเซียส ชาเขียวนำเข้าจากเกาหลี ไม่ขม กลิ่นหอม เมนูเครื่องดื่มมีหลากหลาย อาทิ เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่ อเมริกาโน่ ลาเต้ และนายเงี๊ยบเย็น (เอสเพรสโซ่เย็น) ชาไทย ชาซีลอน และชาเขียวมัจฉะ เลือกได้ต้องการแบบเข้มหรืออ่อน
ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่คุณธนกรเปิดร้านกาแฟ ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมมาตลอด นั่นคือ จะหักเงิน 1 บาท จากกาแฟทุกแก้ว ไปบริจาคทำบุญ อาทิ สร้างอุโบสถ ให้แก่วัดท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร บริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ เป็นต้น
นอกจากเมนูเครื่องดื่ม คุณธนกร ยังมีเบเกอรี่เสิร์ฟ บิงซู (น้ำแข็งไสเกาหลี) และไอศกรีมกะทิสด ฝีมือภรรยา เป็นเมนูของหวานเพื่อสุขภาพ ทุกเมนูหวานน้อย บางเมนูไม่มีน้ำตาลเลย ปราศจากสารกันเสีย
“ธุรกิจเครื่องดื่ม บางคนไม่รู้คิดว่ากำไรดี แต่สำหรับที่ร้านได้กำไรไม่มาก เพราะเน้นใช้วัตถุดิบทุกอย่างเกรดพรีเมี่ยม ยกตัวอย่าง กาแฟรับจากแหล่งเดียวกับกาแฟดอยช้าง เค้กก็ใช้เนยแท้ ไอศกรีมกะทิใช้เครื่องปั่นแบบซอฟท์เสิร์ฟซึ่งมีราคาแพง นั่นเป็นเพราะยึดหลักตามคุณพ่อ ท่านเลือกใช้แต่ของดี ทำให้กิจการก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน”