เปิดแค่ปีละ 3 รอบ! บุฟเฟ่ต์ขนมไทยโบราณสูตรลับจากคุณยาย อิ่มละ 79 บาท

ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย หอมหวาน ต้องยกให้ขนมไทย ไม่ว่าจะชนิดไหนรสชาติก็ดีเยี่ยม แต่ถ้าอยากกินขนมไทยโบราณขนานแท้ต้องนึกถึงชื่อนี้ ร้านขนมไทย บ้านดารา เสิร์ฟขนมไทยโบราณสูตรลับจากคุณยาย 30 เมนู ในราคาบุฟเฟ่ต์ 79 บาท เปิดเมื่อไหร่คนเต็มเมื่อนั้น

คุณนุ่น-ธัญพร คุณะดิเรก วัย 35 ปี เจ้าของร้านขนมไทย บ้านดารา เล่าให้ฟังว่า คุณยายทำขนมไทยขายมาตั้งแต่สมัยสาวๆ เมื่อก่อนยังไม่มีสื่อออนไลน์ หรือเฟซบุ๊กไว้ขายของอย่างปัจจุบัน แต่คุณยายก็สามารถขายขนมได้ ด้วยการเคาะประตูบ้านถามคนนู้นคนนี้ว่าอยากกินอะไร แล้วจะทำมาขายให้ หรือว่าใครมีงานบุญก็มาสั่งขนมกับคุณยาย เปรียบได้กับการพรีออร์เดอร์สินค้าสมัยนี้

“พอมาถึงรุ่นเรามีร้านขายอาหารอยู่แล้วจึงให้คุณยายทำขนมมาวางขายในร้าน และเริ่มใช้สื่อออนไลน์มาช่วยขายได้ประมาณ 5 ปี ด้วยรสชาติที่อร่อยทำให้ลูกค้าเรียกร้องอยากให้เปิดหน้าร้าน เลยตัดสินใจเปิดหน้าร้านจริงจังมาได้ราวๆ 2 ปี” คุณนุ่น เล่า

ปัจจุบันคุณยายเจ้าของสูตรขนมไทย บ้านดารา มีอายุ 74 ปี คุณนุ่น บอกว่า เธอโชคดีมาก เพราะได้ความรู้เรื่องขนมมาจากทั้งคุณยายและคุณย่า โดยขนมไทยโบราณหาทานยาก และขายดีในร้าน คือ ขนมตะลุ่ม ขนมช่อม่วง ขนมพระพาย ขนมลืมกลืน และขนมเสน่ห์จันทน์

“ขายดีอันดับหนึ่ง คือ ขนมตะลุ่ม มีลักษณะคล้ายขนมถ้วย ต่างกันที่ตะลุ่มเป็นหน้าสังขยา ข้างล่างเป็นแป้งผสมกะทิ รสชาติออกเค็มนิดๆ สมัยก่อนที่เริ่มเปิดหน้าร้านใหม่ๆ ไม่ค่อยมีใครทำขาย แต่ตอนนี้มีให้เห็นบ้างแล้ว คนสมัยใหม่จะเรียกว่าขนมถ้วยหน้าสังขยา รองลงมา คือ ขนมช่อม่วง ไส้ไก่กับไส้หวาน หาทานยากอีกเช่นกัน สูตรนี้เน้นแป้งนุ่ม ตามด้วย คือ ขนมพระพาย เป็นขนมที่ใช้ในงานมงคล เช่น งานแต่ง ลักษณะข้างในเป็นไส้ถั่วกวน รสชาติออกหวาน ห่อด้วยแป้งข้าวเหนียว นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟให้ราดด้วยหัวกะทิเคี่ยวข้นๆ ถัดมา คือ ขนมลืมกลืน ทำจากแป้งถั่วเขียวกวนใส่น้ำตาล ราดด้วยน้ำกะทิข้างบน โรยด้วยถั่วทอด ใครที่ไม่เคยทานจะรู้สึกว่าขนมชนิดนี้เหมือนวุ้น หรือเยลลี่ เพราะกินเข้าไปแล้วจะนุ่มๆ ลื่นๆ ตามชื่อขนม มีรสหวานเค็มตัดกัน และ ขนมขึ้นชื่ออีกชนิด คือ เสน่ห์จันทน์ มีความหอมแบบธรรมชาติ เพราะใช้เครื่องอบแบบโบราณ อบทั้งควันเทียน และอบดอกไม้หอม ประกอบด้วย ดอกกระดังงา ดอกชมนาด ดอกมะลิ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ลูกค้าจะชอบมาก”

ส่วนการขายแบบบุฟเฟ่ต์ ที่เรียกเสียงฮือฮาจากลูกค้านั้น คุณนุ่น บอกว่า เริ่มทำมาตั้งแต่เปิดหน้าร้านแรกๆ เพราะอยากคืนกำไรให้ลูกค้าเก่าที่อุดหนุนกันมานานหลายปี

“แค่อยากจะคืนกำไรหรือจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าเก่าที่อุดหนุนเรามาตั้งแต่ขายออนไลน์ แรกเริ่มเราเปิดบุฟเฟ่ต์แค่ 59 บาท มีขนมประมาณ 10-15 รายการ ผ่านไป 4-5 วัน ลูกค้าเริ่มถ่ายรูปลงโซเชียลทำให้คนรู้จักมากขึ้น คงเป็นเพราะความแปลกใหม่ของคนไทยที่ไม่เคยกินขนมไทยแบบบุฟเฟ่ต์ และเป็นขนมที่หาทานยาก จึงขายดีมาตั้งแต่เปิดร้าน”

แม้จะขายดีแล้ว แต่คุณนุ่นไม่เคยหยุดพัฒนาร้าน ทำให้ปัจจุบันมีขนมในไลน์บุฟเฟ่ต์เพิ่มเป็น 30 เมนู สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และจากราคา 59 บาท ปรับเป็น 79 บาท

“เมื่อก่อนขายบุฟเฟ่ต์แค่ 59 บาท บวกลบต้นทุนแล้วไม่เหลือกำไร แต่ไม่ขาดทุน ตอนแรกจะไม่ทำต่อแต่ลูกค้าเรียกร้องอยากทานขนมมาก ถ้าเราเปิดอีกรอบต้องคิดราคาที่เหลือกำไรด้วย ลองบวกลบดูแล้วเพิ่มมาอีก 20 บาท เป็น 79 บาท ราคานี้เราอยู่ได้ลูกค้าอยู่ได้ สรุปแล้วเราจะเปิดบุฟเฟ่ต์ปีละ 3 รอบ รอบนึงประมาณ 2-3 เดือน โชคดีที่เต็มทุกรอบราวๆ 80 คน โดยจะเว้นระยะประมาณเดือนกว่าถึงเปิดรอบใหม่ ในช่วงที่ไม่เปิดบุฟเฟ่ต์จะเปิดขายหน้าร้านปกติ ขายเป็นชิ้น เฉลี่ยชิ้นละ 6 บาท”

ในราคา 79 บาท หากเต็มทุกรอบจะคุ้มทุน และเหลือกำไร ซึ่งต้นทุนหลักไม่ใช่วัตถุดิบ แต่เป็นค่าแรงงาน เพราะขนมใช้เวลาการทำค่อนข้างนาน

“โชคดีว่าขนมเราทำเองทุกอย่าง จึงเปิดบุฟเฟ่ต์ได้ ตอนนี้ใช้คนทำประมาณ 11 คน รับสมัครแล้วต้องมาฝึกกันอีกที สอนหมดทุกอย่าง ได้ทั้งงานทั้งความรู้ ส่วนเรื่องวัตถุดิบอยู่ในแหล่งวัตถุดิบอย่างอัมพวาอยู่แล้วต้นทุนจึงไม่สูงมาก”

ก่อนบอกต่อว่า เปิดบุฟเฟ่ต์มีอุปสรรค ในเรื่องอายุของขนม เพราะบางอย่างแม้จะเก็บไว้ได้นาน ไม่บูดไม่เสีย แต่รสชาติอาจเปลี่ยนไป คุณนุ่น บอกว่า จึงต้องขายให้หมดในวันนั้น

“แต่ละอย่างทำไม่ต่ำกว่า 200-300 ชิ้น อย่างขนมตะลุ่ม นึ่งไม่ต่ำกว่า 600 ถ้วยต่อวัน ทำเสิร์ฟร้อนๆ งานหนักกว่าขายปกติ หมดเมื่อไหร่มีเติมตลอด ลูกค้ามาแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กิน ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าลูกค้าชอบกินอะไร กินเท่าไหร่ จึงกะปริมาณได้ถูกต้อง” คุณนุ่น เล่า

สนใจอยากแวะไปกินขนมอร่อยๆ รอบหน้า เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน ถึง 27 ธันวาคม 2563 สามารถเข้าไปดูรายละเอียดรอบบุฟเฟ่ต์ได้ที่ เฟซบุ๊ก ขนมไทย บ้านดารา โทรศัพท์/ไลน์ 099-232-2861 และ 091-446-3532

เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2563