รู้ยัง! The Coffee Club ร้านดังสัญชาติออสเตรเลีย เขาไม่ได้มีแค่กาแฟนะ

รู้ยัง! The Coffee Club ร้านดังสัญชาติออสเตรเลีย เขาไม่ได้มีแค่กาแฟนะ

หากพูดถึงร้านกาแฟในประเทศไทย ภาพในหัวของหลายคนจะเป็นร้านที่มีเครื่องดื่มประเภทกาแฟ ชา น้ำปั่น และอิตาเลี่ยนโซดา รวมไปถึงขนมจำพวกเบเกอรี่ จำหน่ายให้เลือกซื้อทานแล้วแต่จริตความชอบ ราคาถูกแพงก็แล้วแต่ว่าเป็นแบรนด์ดังมากน้อยแค่ไหน

The Coffee Club ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ ไมเนอร์ ฟู้ด (The Minor Food Group PCL.,) ถือหุ้นอยู่ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” มีโอกาสได้สัมภาษณ์กับ คุณจันทร์ – วณญาดา วรรณวิไชย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ประเทศไทย เธอเล่าที่มาที่ไปของร้านกาแฟที่มีมากกว่ากาแฟนี้ ให้ฟังว่า

คุณจันทร์ – วณญาดา วรรณวิไชย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ประเทศไทย

The Coffee Club เป็นร้านกาแฟสัญชาติออสเตรเลีย ที่ก่อตั้งโดย Mr. Emmanuel Kokoris และ Mr. Emmanuel Drivas สองพี่น้องชาวกรีก ที่วันดีคืนดี เกิดอยากดื่มกาแฟรสเลิศขึ้นมากลางดึก แต่ก็ไม่สามารถหาร้านที่ว่านั้นได้เลยในเมืองบริสเบน (เมืองหลวงที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย) จึงปรึกษากันและก่อตั้ง The Coffee Club ขึ้นในปี 2532

โดยคอนเซ็ปต์ร้านกาแฟที่สองพี่น้อง Emmanuel วางเอาไว้ คือ All-Day Breakfast & Brunch Cafe’ คือไม่ใช่ร้านที่เสิร์ฟแค่กาแฟ เครื่องดื่ม หรือ เบเกอรี่ แต่มีสารพัดเมนูไว้คอยบริการ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า อาหารฝรั่ง และอาหารไทย รวมถึงต้องเป็นที่ที่มีบรรยากาศสบายๆ แต่มีความหรูหรา ทันสมัย และมีราคาที่ทุกคนสามารถซื้อทานได้ ในที่สุด เดอะ คอฟฟี่ คลับ ก็ได้กลายเป็นร้านกาแฟที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศออสเตรเลีย และได้ทำการขยับขยายสาขาไปแล้วทั่วโลกกว่า 400 สาขาใน 10 ประเทศ

“เดอะ คอฟฟี่ คลับ เข้ามาตั้งสาขาแรกในไทยที่พัทยา เมื่อตอนปี 2553 โดยมีบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด ถือหุ้นอยู่กว่า 70% ค่ะ ด้วยความที่เป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีแบรนด์หนึ่ง เพราะ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ไม่ได้มีแค่กาแฟ แต่มีบริการพวกอาหารอะไรพวกนี้ด้วย ทำให้สาขาแรกที่พัทยาได้รับการตอบรับที่ดี ทางไมเนอร์จึงมีการขยายสาขาต่อไปที่สมุย ภูเก็ต กระบี่ และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่ไทย ทำให้ลูกค้าเรากว่า 90% เป็นต่างชาติ จนตลาดลูกค้ามันเริ่มนิ่ง ก็เลยคิดว่าลองขยายตลาดมาจับลูกค้าคนไทยด้วยดีไหม ทางบอร์ดก็ปรึกษากันและตัดสินใจนำเดอะ คอฟฟี่ คลับ มาเปิดที่กรุงเทพฯ ที่เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวที่นิยมของต่างชาติ โดยเลือกเปิดร้านที่เอกมัย เป็นสาขาแรก เนื่องจากมีทั้งนักท่องเที่ยวและคนไทยอาศัยอยู่ และการเดินทางสะดวกสบาย” คุณจันทร์ กล่าว

ปัจจุบัน เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีสาขาในประเทศไทยแล้วกว่า 60 สาขา โดยคุณจันทร์นั้นได้เข้ามาบริหารแบรนด์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพียงไม่กี่เดือน

“จันทร์เคยทำงานในฝ่ายกลยุทธ์การอาหาร แล้วเข้ามาดูแลแบรนด์เดอะ คอฟฟี่ คลับ เมื่อตอน พฤศจิกายนปีที่แล้วนี้เองค่ะ ก็เข้ามาก่อนโควิดนิดเดียว เพราะตลอดการทำงานมา 10 กว่าปี ตัวเราเองไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เรียกว่าวิกฤตแบบนี้ พอโควิดมาก็ช็อกไปเหมือนกัน เลยต้อง ตั้งใจ ตัดใจ ปิดร้าน ไปเลย ปรับแผน เพราะแบรนด์ไม่ค่อยได้โปรโมตอะไรมากนัก แล้วพอคนเห็นชื่อก็จะคิดว่ามีแต่กาแฟ ซึ่งเรามีทั้งอาหารคาว-หวาน และเครื่องดื่มต่างๆ ก็พยายามหันมาทำดีลิเวอรี่ค่ะ ซึ่งเป็นอะไรที่แบรนด์ไม่เคยทำเลย ก็กลัวนะ แต่ ณ ตอนนั้นมันก็ต้องทำ”

“ช่วงแรกๆ ของการระบาด บอร์ดบริหารเราประชุมกันทุกวันเลยค่ะ เราต้องปรับกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยกำหนดว่าต้องจับกลุ่มที่เป็นคนไทย อายุระหว่าง 18-29 ให้ได้มากกว่า 80% เพราะต่างชาติเขาเข้าประเทศเราไม่ได้แล้ว ซึ่งข้อดีของไมเนอร์ คือ เรามีแบรนด์พี่น้องค่อนข้างเยอะ อย่างเดอะ พิซซ่า สเวนเซ่น เบอร์เกอร์คิงส์ ทำให้อะไรที่เราสามารถนำมาแชร์นำมาปรับใช้ได้ เราก็แชร์กัน แล้วพอรัฐบาลบอกให้เปิดร้านได้ เดอะ คอฟฟี่ คลับเราก็ดูท่าทีอยู่ก่อน 1 เดือน แล้วกลับมาเปิดร้านทันทีเลย จากที่มีอยู่เป็นสิบสาขา ก็เปิดอยู่ 11 สาขา ให้เป็นดีลิเวอรี่ เปิดครัวเป็น Hub เพื่อกระจายสินค้าเอาสต๊อกของสดที่มี มาทำโปรโมชั่นเมนูใหม่ๆ ปรับราคาลงมา 10-15% ให้เหมาะสมกับคนไทย เพราะเดอะ คอฟฟี่ คลับ อยากเน้นให้ใครก็ได้เข้ามาทานอาหารดื่มเครื่องดื่มได้สบายๆ ทุกวันนี้ก็เปิด 20 กว่าสาขาแล้วค่ะ แล้วก็เน้นมาทำออนไลน์มากขึ้น” ผู้อำนวยการสาว เล่า

คุณจันทร์ เผยต่อว่า การหันมาทำดีลิเวอรี่ในช่วงโควิด ก็ถือเป็นโอกาสในการโปรโมตร้านให้เป็นที่รู้จักและปรับความเข้าใจของคนไปในตัวด้วยอย่างหนึ่ง และทำให้ได้ยอดขายจากดีลิเวอรี่ประเภทเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเป็น 20% เลยทีเดียว เรียกว่าเมื่อมีวิกฤตเข้ามา ก็พลิกให้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างไปในตัว

นอกจากนั้นเดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังกลับมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “All Day Dining and More” (ออล เดย์ ดินนิ่ง แอนด์ มอร์) ที่เลือกอิ่มอร่อยได้หลากหลายเมนูตลอดวันในราคาสบายกระเป๋าขึ้น ทั้งเครื่องดื่ม และอาหารหลากหลายสไตล์ เน้นการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพพรีเมี่ยม รสชาติอร่อย พร้อมเพิ่มทางเลือกด้วยเมนูเพื่อสุขภาพอีกมากมาย โดยเมนูไฮไลต์ที่นำเสนอ ได้แก่

เบอร์เกอร์ไก่สไปซี่ศรีราชา

มื้อเช้า DIY สไตล์เวสเทิร์น เลือกเมนูไข่ในแบบที่ชอบ ไม่ว่าจะ ไข่คน ไข่ดาว หรือ ไข่ลวก เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวโดปิ้ง (sourdough) และมะเขือเทศย่าง มิกซ์แอนด์แมตช์เพิ่มกับเครื่องเคียงที่มีให้เลือกหลากหลาย อาทิ แฮม เบค่อน ไส้กรอกหมู แซลมอนรมควัน แฮชบราวน์ ผักโขม เห็ดผัด ฯลฯ หรือจะเลือก DIY สไตล์ไทย กับเซตข้าวต้มกุ๊ย ข้าวต้มร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงที่เลือกได้ถึง 4 อย่างในหมวด ไข่ ผัก เนื้อสัตว์ และยำ อาทิ ไชโป๊วผัดไข่ ผัดผักบุ้ง หมูผัดหนำเลี้ยบ ยำไข่เค็ม เป็นต้น

เซตข้าวต้มกุ๊ย ข้าวต้มร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงที่เลือกได้ถึง 4 อย่างในหมวด

มื้อสาย หรือ Brunch กับเมนูยอดฮิต Classic Eggs Benedict ไข่เบเนดิกต์คลาสสิก ขนมปัง Sourdough อบกรอบ Poached Eggs Hollandaise Sauce และเลือกท็อปปิ้งได้ทั้งแฮม, เบค่อน หรือแซลมอนรมควัน มื้อเที่ยง ขอนำเสนอเมนูเบอร์เกอร์ใหม่ล่าสุด เบอร์เกอร์ไก่สไปซี่ศรีราชา ไก่ทอดกรอบๆ รสชาติจัดจ้านแบบไทยๆ เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังเบอร์เกอร์เนื้อนุ่ม และผักสดหวานกรอบ

Classic Eggs Benedict

และ มื้อเย็น เมนูอิ่มท้องสไตล์ไทยฟิวชั่นขายดีตลอดมาอย่าง สปาเกตตีคอหมูย่างแจ่ว เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มผสานความเข้มข้นของคอหมูย่างหมักผัดด้วยซอสแจ่วกลมกล่อมอย่างลงตัว ซึ่งอาหารทั้งหมดเป็นชุดอาหารฟิวชั่นระหว่างความเป็นออสเตรเลียและความเป็นไทย โดยสูตรอาหารทั้งหมดมาจากออสเตรเลีย ที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่

สปาเกตตีคอหมูย่างแจ่ว

“ตอนนี้เดอะ คอฟฟี่ คลับ เราไม่ได้อยากขยายสาขาแล้ว แต่อยากสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นมากกว่า แล้วก็อยากทำให้ร้านดูสดใสขึ้น ให้ความรู้สึกว่าสามารถรีแล็กซ์นั่งจิบเครื่องดื่ม ทานอาหารได้สบายๆ และเป็นส่วนตัวมากขึ้น ยังไงก็ลองมาทานอาหารและเครื่องดื่มของเรากันได้นะคะ รับรองว่าเราไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน” คุณจันทร์ ทิ้งท้าย

 

 

เผยแพร่ครั้งแรก วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2563