ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์-เรื่อง |
---|---|
เผยแพร่ |
มีโอกาสเจอญาติที่ไปทำร้านอาหารอยู่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เธอเป็นลูกสาวป้าฝั่งแม่ของผม หลังเรียนจบปริญญาตรีที่เมืองไทย เธอสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย
จนไปพบรักกับเพื่อนนักศึกษาชาวฝรั่งเศสที่นั่น
หลังเรียนจบเธอแต่งงาน และตระเวนทำงานในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เมืองไทย, จีน และสหรัฐอเมริกา
กระทั่งตอนหลังเธอตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลครอบครัว และลูกสาว 3 คนอยู่ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพราะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของสามี
ตอนนั้นเธอสังเกตเห็นว่าอาหารไทยเริ่มเป็นที่นิยมในยุโรป
โดยเฉพาะเมืองที่เธออยู่
เธอจึงเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ เพียง 1 ร้าน ปัจจุบันเธอขยายสาขาเพิ่มอีกจนมี 2 ร้าน
ส่วนสามีก็บินไปมาระหว่างเอเชีย ยุโรป และเมืองไทย โดยคิดว่าวันหนึ่งคงกลับไปช่วยภรรยาทำร้านอาหารไทยที่บ้านเกิด
ช่วงที่กลับมาเมืองไทย ผมถามเธอว่าไม่คิดจะกลับบ้าน เพื่อทำธุรกิจอะไรที่นี่บ้างเหรอ เพราะพ่อ และแม่ของเธอพอมีที่มีทางอยู่บ้าง แถบชานเมืองเพชรบุรี
เนื่องจากพื้นฐานครอบครัวของเธอเป็นเกษตรกร
มีเรือกสวนไร่นาอยู่บ้าง
อีกอย่างเธอเอง และพี่น้องของเธอก็เคยช่วยพ่อแม่ทำการเกษตรมาก่อน จึงพอรู้ขั้นตอนอยู่บ้างว่าถ้าจะมาทำการเกษตรต้องทำอะไรบ้าง
ยิ่งเดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่หลายคนหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันค่อนข้างมาก
บางคนจบปริญญาเอกก็มาเป็นชาวนา ชาวสวน
บางคนเป็นแอร์โฮสเตสก็มาทำปลูกผักอินทรีย์
หรือบางคนเรียนทางด้านสถาปนิกก็มาเปิดโฮมสเตย์ โดยมีจุดขายหลักคือการปลูกผักออร์แกนิกรอบๆ บริเวณโฮมสเตย์ ทั้งยังแปรรูปสินค้าออกมาเป็นยาสระผม สบู่ ครีมอาบน้ำ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
แต่เธอกลับบอกผมว่าคงไม่มาทำเรื่องแบบนี้หรอก
ผมถามเธอว่า…ทำไมล่ะ?
“เรารู้ว่ามันลำบาก” เธอตอบ
เราเห็นพ่อแม่ทำมาตลอดชีวิต ทั้งปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่รายได้ไม่ดีเลย ทุกอย่างต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ไม่งั้นตอนเด็กๆ เราจะเอามะม่วงแก้วมาดอง เพื่อนำไปขายตามงานวัด และโรงลิเกเหรอ
หรือเราจะต้องขายเรียงเบอร์เหรอ
หรือเราจะต้องตื่นตี 4 ตี 5 เพื่อไปถอนซังในนาข้าวเพื่อนำมาเพาะเห็ดฟางเหรอ
แต่ตอนนั้นเราต้องทำเพราะครอบครัวเรายากจน
พ่อแม่มีลูกหลายคน
เราอยากช่วยแบ่งเบาภาระอะไรได้บ้างจึงต้องทำ เพื่อจะได้นำเงินเหล่านี้ไปซื้อชุดนักเรียน ซื้อหนังสือ หรืออะไรที่อยากได้
เราเข้าใจนะที่คนรุ่นใหม่หันมาทำเกษตรอินทรีย์จำนวนมาก
ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเริ่มเข้าใจหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าการอยู่อย่างพอเพียงนั้นเป็นอย่างไร
หรืออาจเข้าใจกฎของธรรมชาติมากขึ้น เพราะปัจจุบันคนป่วยเป็นมะเร็งกันมาก เนื่องจากอาหารการกินที่อยู่รอบตัวทุกวันนี้ต่างเต็มไปด้วยสารพิษ
สารเคมี
ถ้าเขาหันมาปลูกข้าว ผัก ผลไม้กินเอง โดยไม่ใช้สารเคมี เมื่อมีเหลือก็แบ่งปันคนรอบข้างบ้าง ถ้าเหลือมากกว่านั้น ก็นำไปขายจนพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้บ้าง คงเป็นเรื่องดี
แต่เราไม่รู้นะว่าในอนาคตคนที่ทำแบบนี้จะเหลืออยู่สักกี่ราย
เพราะอย่างที่ทราบ คนที่จะเดินเข้ามาสู่อาชีพเกษตรกรต้องมีความอดทน ต้องขยัน ต้องทุ่มเทกันทั้งชีวิต ไม่ใช่แค่ทำเพราะกระแส ไม่ใช่เพราะทำเพราะอยากทำ
หรือทำเพราะเท่
อันนี้เราไม่เห็นด้วยเลย
แต่เรากลับเห็นด้วยกับเกษตรกรตัวจริงที่เคยผ่านประสบการณ์ในการเพาะปลูกมาก่อน คนเหล่านี้อาจเพาะปลูกอย่างไม่มีทิศมีทางมาก่อนในอดีต แต่ปัจจุบัน เมื่อเขามีโอกาสศึกษาการเกษตรทฤษฎีใหม่
ศึกษาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ
และมีโอกาสเข้าไปศึกษายังศูนย์เรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งยังเคยไปดูงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในที่ต่างๆ อันนี้เราเห็นด้วย
เพราะพวกเขามีต้นทุน
ต้นทุนความรู้เดิมที่เกี่ยวกับการทำการเกษตรจริงๆ
ต้นทุนความอดทนในชีวิตตลอดช่วงเวลาผ่านมา
และต้นทุนบนความเชื่อที่ว่าการเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทจะทำให้ชีวิตของเขากลับมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถามว่าเพราะอะไรรู้ไหม
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
เธอบอกว่าเพราะสองมือ สองเท้าของเขาผ่านความยากลำบากมาแล้ว ดังนั้น เวลาเขาจะทำอะไร เขาจึงทำด้วยสองมือ และสองเท้าของเขาได้ทันที
ไม่ต้องจ้างใครให้มาช่วย
ไม่ต้องจ้างรถไถให้เสียเงินในแต่ละวัน
แต่เขาจะค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขุดดิน ค่อยๆ ดายหญ้า ค่อยๆ ปลูก ค่อยๆ เพาะพันธุ์พืช ตอนกิ่ง ปักชำ และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อรอดูดอกผลของมันค่อยๆ งอกงามขึ้น
พวกเขาเข้าใจกฎธรรมชาติ
ไม่รีบร้อนที่จะเห็นผลสำเร็จ
แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนรุ่นใหม่อดทนรอคอยแบบนี้ได้ไหม?
ผมฟังแล้วเข้าใจเธอ
พร้อมกับคิดว่าเราเองก็เดินทางไปในที่ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ สัมภาษณ์นักธุรกิจที่ทำเรื่องเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์มาก็มาก ขณะเดียวกัน ก็ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับเกษตรกรโดยตรงมาก็เยอะ
หรือแม้แต่ไปเยี่ยมโครงการพระราชดำริในจังหวัดต่างๆ
แต่ทำไมเราไม่นึกถึงเรื่องนี้บ้าง
เราอาจฟังแต่ความสำเร็จของผู้อื่น
เราเห็นในสิ่งที่เขาอยากให้เราเห็น
แต่ลึกลงไปในเนื้อแท้แล้วการจะทำอะไรสักอย่างต้องมีพื้นฐานจากความรักในอาชีพ ความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์เสียก่อน หาไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จ
เธอบอกผมก่อนแยกจากกันว่าร้านอาหารของเรามีสวนออร์แกนิกลอยฟ้าเล็กๆ อยู่บนดาดฟ้า และผักทุกชนิดที่เรานำมาประกอบอาหารให้ลูกค้ารับประทาน ล้วนเป็นผักปลอดสารพิษทั้งสิ้น
ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าเรานำสิ่งที่ดีที่สุดมาให้พวกเขารับประทาน
แค่นี้ก็สุขอยู่ในใจเล็กๆ ของเราแล้ว
ผมยิ้มแทนคำตอบทุกอย่าง และบอกเธอว่าถ้าเกษียณอายุเมื่อไหร่ มีสตางค์เหลือมากพอจะขอไปเยี่ยมชมที่ร้านสักครั้ง
เธอบอกผมว่าไปสิ แล้วเธอจะรู้ว่าสุขในใจเป็นเช่นไร?