เผยแพร่ |
---|
สุดคึกคัก! “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” คนแห่ชมไม้ด่างหายาก! “มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ที่มติชนอคาเดมี
นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านและเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ในเครือมติชน ผนึกกำลังจัดงาน “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม 2564 โดยวันที่ 29 ตุลาคม รมช.-ปลัดมหาดไทย ร่วมสัมมนาออนไลน์ “ทางรอดเกษตรกรยุคโควิด” ในวาระครบ 34 ปี เทคโนโลยีชาวบ้าน นิตยสารด้านการเกษตรชั้นนำของไทย ถ่ายทอดในรูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่ง ผ่านเฟซบุ๊กเทคโนโลยีชาวบ้าน เส้นทางเศรษฐี ข่าวสด มติชน และประชาชาติธุรกิจ ขณะที่กิจกรรมภายในพื้นที่มติชนอคาเดมี มีประชาชนให้ความสนใจและทยอยเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องตลอดวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งกิจกรรมเวิร์กช็อปสร้างอาชีพ ปั้นรายได้พุ่งยุคโควิด โดยเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ พลาดไม่ได้กับไฮไลต์เด่นที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าชมอย่าง “มหัศจรรย์พรรณไม้” ที่เฟ้นหาไม้ด่างหายากมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท ไว้ที่นี่ที่เดียว พร้อมเอาใจคนรักไม้ด่างด้วยตลาดต้นไม้ “GREEN MARKET”
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
รมช.มหาดไทย ย้ำแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้ประชาชน
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “นโยบายเกษตรทางรอดใหม่ นำไทยฝ่าวิกฤตโควิด” ในการสัมมนาออนไลน์ว่า ที่ดินเปรียบเสมือนชีวิต เพราะเป็นที่ทำกิน เป็นที่อยู่อาศัย และส่งมอบต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน กระทรวงมหาดไทยจึงให้ความสำคัญกับการจัดการแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้พี่น้องประชาชน มีการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินให้พี่น้องประชาชน ซึ่งที่ดินไทยที่ไม่ใช่ที่ดินของรัฐ กระทรวงมหาดไทยพร้อมที่จะดำเนินการออกสำรวจ เพื่อให้ประชาชนได้มีที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน
“เรานำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสำรวจรังวัดที่ดินให้มีความแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีที่ดินและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งประเทศไทยมีพี่น้องประชาชนเข้าไปทำกินในที่ดินรัฐเป็นจำนวนมาก ภาครัฐเห็นถึงความสำคัญด้านนี้ เป็นที่มาที่ทำให้รัฐต้องนำกฎหมาย คทช. มาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ช่วยแก้ปัญหาถือครองที่ดินทำกินให้พี่น้องประชาชน” นายนิพนธ์ กล่าว
รมช.มหาดไทย กล่าวอีกว่า อาชีพเกษตรเป็นอาชีพหลักของประเทศไทย มีครอบครัวทำอาชีพเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพถึง 14 ล้านครอบครัว โดยมีทั้งทำนาข้าว ปลูกพืชเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ไม้ผล ฯลฯ เพราะฉะนั้น เรื่องที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชน จึงเป็นสิ่งที่รัฐต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีที่ดินประกอบอาชีพ โดยไม่เป็นผู้บุกรุกในที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรและประชาชนทั่วไปมีอาชีพและเกิดรายได้จากการทำเกษตรกรรม กระทรวงมหาดไทยจึงนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการน้ำ โดนประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเกษตรของไทยมีการผลิตและมีตลาดที่จำหน่ายได้ราคาดี ทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรอง และส่งเสริมให้ทำเกษตรแปลงใหญ่ขึ้น ช่วยให้เกษตรกรมีสินค้าที่เท่าทันตลาดอยู่เสมอ
รมช.มหาดไทย ย้ำความสำคัญของที่ดินทำกินไว้ช่วงท้ายด้วยว่า การแก้ปัญหาความยากจนให้เกษตรกรได้ จำเป็นต้องส่งเสริมการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน เพื่อให้มีการสร้างรายได้เป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เพื่อให้ประชาชนมีรายได้และแก้ไขปัญหาความยากจนของคนในประเทศ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
ปลัดมหาดไทย เผยความสำเร็จ “โคก หนอง นา”
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เสวนาพิเศษ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล” ในการสัมมนาออนไลน์ว่า “โคก หนอง นา โมเดล” ซึ่งน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาดำเนินการ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากองค์ประกอบมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือ การที่พี่น้องประชาชนเปิดใจยอมรับเรื่องนี้เข้าไปพิจารณา แล้วเกิดเป็นความเชื่อมั่นว่า โครงการนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาชีวิตของพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืน ไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยทำให้เกิดสังคมแห่งความรักใคร่ สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของพี่น้องประชาชนมีสภาวะที่ดีขึ้นเหมือนสภาวะธรรมชาติ สวยงาม ก่อให้เกิดความสุข แม้ระหว่างการดำเนินงานจะมีปัญหาหรืออุปสรรคบ้าง แต่ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย ก็ช่วยแก้ไขให้ลุล่วงไปได้
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เพื่อให้ “โคก หนอง นา โมเดล” เข้าถึงประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ได้มีการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการผ่านกลไก 357 กล่าวคือ “3 ระดับ” ได้แก่ ระดับพื้นที่/ชุมชน ระดับจังหวัด ระดับประเทศ “5 กลไก” คือ การประสานงานภาคีเครือข่าย การบูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ การติดตามประเมินผล การจัดการความรู้ และการสื่อสารสังคม และ 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน
ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำ และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน ตามกลไกการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยใช้หมู่บ้านเป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกครัวเรือน และพัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัวให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ สร้างรายได้ ท่ามกลางวิกฤตโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“จากวิกฤตโควิด-19 ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า โคก หนอง นา คือทางรอด ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้ดำเนินการโดยยึดแนวทางการพัฒนาคน พัฒนาพื้นที่ ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบ นำสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว
นายทวีศักดิ์ กลิ่นคง ขณะเสวนา “กล้าเสียบยอด นวัตกรรมเพื่อเกษตรกร ต้านทานโรค ผลตอบแทนสูง คุ้มค่าการลงทุน”
ปรับปรุงดิน-เปิดเคล็ดลับสร้างรายได้จากไม้ด่าง
จากนั้น เป็นการสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “เทคนิคปรับปรุงดินอย่างง่าย ปลูกอะไรก็งาม และดูแลผลผลิตอย่างไรให้ได้มาตรฐาน GAP” โดย ผศ.อดิศักดิ์ บ้วนกียาพันธุ์ (อาจารย์บ้วน) บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) (ปุ๋ยตราหัววัว-คันไถ) หัวข้อ “ไม้ด่าง สินค้าขายดี ยุคโควิด” โดย นายพงษ์พันธ์ เปี่ยมมนัส เกษตรกรผู้ปลูกไม้ด่าง หัวข้อ “สร้างผลผลิต พลิกวิกฤตโควิดสู่โอกาส” โดย นายอิศรากรณ์ พลธรรม ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์และต้นแบบเกษตรกรนักพัฒนา และหัวข้อ “กล้าเสียบยอด นวัตกรรมเพื่อเกษตรกร ต้านทานโรค ผลตอบแทนสูง คุ้มค่าการลงทุน” โดย นายทวีศักดิ์ กลิ่นคง บริษัท ทีเค เกษตรกรรม จำกัด เผยเทคนิคการปรับปรุงดิน ความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมการเกษตร รวมถึงเปิดที่มาความนิยมไม้ด่าง ซึ่งเป็นกระแสมาแรงช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด ทำให้คนหันมาปลูกต้นไม้กันมากขึ้น และมองเห็นช่องทางสร้างรายได้จากไม้ด่าง
นายยศพิชา คชาชีวะ ขณะเวิร์กช็อป
เส้นทางเศรษฐีออนไลน์จัดเวิร์กช็อป ขายอาหารออนไลน์อย่างไรให้รวย
ขณะที่เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มสื่อด้านเอสเอ็มอีที่มีผู้ติดตามมากเป็นอันดับต้นๆ จัดเวิร์กช็อปสร้างอาชีพ “How To มูฟออน : เริ่มต้นอาชีพใหม่ กับเส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ฟรี! หลักสูตรละ 20 คน ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม เวลา 13.00-15.00 น. ที่มติชนอคาเดมี โดยวันที่ 29 ตุลาคม จัดเวิร์กช็อป “How To ขายอาหารออนไลน์ ทำอย่างไรให้ได้กำไร” โดย นายยศพิชา คชาชีวะ จากสถาบันโรงเรียนแม่บ้านทันสมัย ผู้เป็นทั้งกูรู วิทยากร คอลัมนิสต์ด้านอาหารชื่อดัง
นายยศพิชา แนะว่า การขายอาหารออนไลน์ต้องให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอาหาร เช่น วัตถุดิบ ให้เน้นความแปลกใหม่ เช่น พิซซ่าใช้แป้งพิเศษ หรือใส่ครีมชีสบนหน้าตามด้วยท็อปปิ้ง เมื่อปรับรสชาติแล้วลองให้เพื่อน ญาติพี่น้องชิม และช่วยติชม รวมถึงการเลือกแพ็กเกจจิ้ง ควรเลือกให้ดีตอบโจทย์ลูกค้าและเหมาะกับอาหาร
ส่วนขายอะไรถึงจะรวย นายยศพิชา แนะนำว่า มี 2 ประเภทหลัก คือ ของแห้งและของสด ของแห้ง เช่น น้ำพริก ปลาแห้ง เครื่องปรุง (ซอสน้ำจิ้มซีฟู้ด) ขนมไทย ขนมฝรั่ง เป็นต้น ของพวกนี้แพ็กใส่กระปุกขายง่าย ส่วนของสด เช่น อาหารกล่อง มีหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง หรืออาหารสุขภาพ กำลังเป็นเทรนด์ หรือจะขายวัตถุดิบสด เช่น อาหารทะเล สามารถขายได้เรื่อยๆ ถ้าอยู่ในแหล่งอาหารทะเล จะขายได้ดี
นอกจากนี้ยังแนะนำวิธีการคิดต้นทุนอย่างละเอียด โดยแบ่งเป็นต้นทุนหน้าร้านและต้นทุนขายออนไลน์ ต้นทุนหน้าร้าน ต้นทุนวัตถุดิบ 30% ค่าบริหารแรงงาน 30% กำไรสุทธิ 30% เผื่อของเสียหาย 10% ส่วนต้นทุนขายออนไลน์ ต้นทุนวัตถุดิบ 30% ค่าบริการแรงงาน 20% ค่าจีพี 30-35% กำไรสุทธิ 20% โดยต้องคิดต้นทุนทุกอย่างแม้กระทั่งถุงร้อน หนังยางมัดถุง ทิชชู ฯลฯ เพื่อสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม เมื่อเริ่มขายอาหาร ควรเริ่มจากขายให้เพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือคนผ่านไปมาหน้าบ้าน ช่องทางที่สองคือโซเชียลมีเดียต่างๆ และช่องทางสุดท้ายคือแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารที่มีหลายแอพให้เลือก
“การขายอาหารออนไลน์สามารถยึดเป็นอาชีพจริงจังได้ เพียงแต่ผู้ขายต้องเจอกับข้อแม้หลายๆ อย่างที่ต้องรับมือให้ทัน เช่น การทำอาหารให้ทันออร์เดอร์ และการสต๊อกของต้องดูให้ดี รวมทั้งต้องรักษาคุณภาพอาหาร วัตถุดิบต่างๆ การบริการ ให้ลูกค้าประทับใจ” นายยศพิชา ทิ้งท้าย
ด้านนายพลกฤต โนสูงเนิน ผู้เข้าร่วมอบรม ให้สัมภาษณ์ว่า ตนยังเป็นนักศึกษา แต่มีความฝันอยากเปิดร้านอาหารแนวเกาหลี ที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อแล้วเดินรับประทานได้ และจากการอบรมกว่า 2 ชั่วโมงในวันนี้ ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องการตลาดออนไลน์ว่ามีหลากหลายรูปแบบ เป็นความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงหากต้องการเริ่มทำธุรกิจอาหาร
มอนสเตอร่าด่างมินต์ มูลค่า 4.9 ล้านบาท
ฮือฮา! “มหัศจรรย์พรรณไม้” คนแห่ชมคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงาน “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” โซน “มหัศจรรย์พรรณไม้” เป็นโซนที่สามารถเรียกเสียงฮือฮาและมีประชาชนเข้าชมอย่างไม่ขาดสาย พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างคึกคัก ภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด โดย “มหัศจรรย์พรรณไม้” ได้เฟ้นหาไม้ด่างหายากราคาแพง รวมแล้วกว่า 20 ล้านบาท มาจัดแสดงให้ชม มีดาวเด่น อาทิ มอนสเตอร่าด่างมินต์ มูลค่า 4.9 ล้านบาท ของนายจิรวุฒิ พัฒนพงศ์พิบูล แห่ง Avatar Garden ที่ยังนำต้นอื่นๆ เช่น จินนี่ด่างหรือมอนสเตอร่าด่างพันธุ์จิ๋ว มูลค่า 3 ล้านบาท ไม้เลื้อยใบฉลุ มูลค่า 1.7 ล้านบาท ฯลฯ มาจัดแสดงให้ชมอย่างใกล้ชิด
นายนิรินาทย์ เธียรวรโชค
ภายในโซน “มหัศจรรย์พรรณไม้” ยังมีไม้หายากของนายนิรินาทย์ เธียรวรโชค เจ้าของ The Lord of the Garden สวนเดอะลอร์ด ผู้สร้างปรากฏการณ์ซื้อกล้วยด่างอินโดในราคาสูงถึง 10 ล้านบาท ที่เป็นข่าวไปทั่วประเทศเมื่อเดือนกันยายนมาจัดแสดงด้วย เช่น ไหมทอง มณีจันทร์ มูลค่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีอยู่เพียงต้นเดียวของประเทศไทย และนำมาออกสื่อเป็นครั้งแรก โดยมีผู้จองซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีต้นด่างจักรพรรดิ มูลค่า 1.5 ล้านบาท ด่างลายพายุตุ๊กแก มูลค่า 1.2 ล้านบาท เป็นต้น
นายนิรินาทย์ กล่าวว่า งานนี้ตั้งใจนำพันธุ์กล้วยด่างที่น่าสนใจหลายต้นจาก ต.บ้านเพ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง มาจัดแสดงให้ทุกคนได้ชมกันโดยเฉพาะ โดยผ่านกระบวนการมัดและขนย้ายด้วยความระมัดระวังไม่ให้ใบเสียหาย ซึ่งแต่ละต้นที่นำมาจัดแสดงมีมูลค่าตั้งแต่ 5 แสนบาท ไปจนถึง 3 ล้านบาท
เจ้าของสวนเดอะลอร์ด เผยถึงความรักในไม้ด่างจนนำสู่การลงทุนในไม้ด่างว่า แต่เดิมประกอบอาชีพซื้อขายอัญมณี แต่โควิดทำให้ 2 ปีที่ผ่านมาขาดรายได้ จนวันหนึ่งได้ดูรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับธุรกิจไม้ด่าง จึงลองศึกษาเพิ่มเติมและตัดสินใจซื้อมาเพาะเลี้ยงขายเองในเวลาต่อมา
ไหมทอง มณีจันทร์ มูลค่า 3 ล้านบาท
“ตอนจะซื้อต้นแรก ทำการบ้านมาดีแล้ว ไปดูที่สวนเลย พอไปถามถึงรู้ว่าหน่อเล็กๆ ที่อยู่ใต้ต้นแม่มีราคาสูงถึง 85,000 บาท เลยไม่กล้าซื้อ แต่พอค้นข้อมูลและศึกษาเพิ่มเติมเรื่องลวดลายและความพิเศษของสายพันธุ์ก็ยิ่งทึ่งจนไม่ได้นอน วันต่อมาต้องกลับไปซื้อเลย ซึ่งไม่ได้ซื้อหน่อเดียว แต่ซื้อถึง 2 หน่อ ใช้เวลาเลี้ยงราว 10 วันก็สามารถขายหน่อที่งอกขึ้นมาได้ในราคา 180,000 บาท รวมแล้ว 360,000 บาท เท่ากับว่าสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน
“เหตุผลที่นำไม้ด่างหายากมาจัดแสดง เพราะจะเป็นทางเลือกที่ทำให้ผู้คนเห็นว่า อาชีพการเพาะเลี้ยงกล้วยด่างสามารถเป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้ น่าจะช่วยให้ผู้คนที่สนใจมองหาอาชีพเสริมหรือรายได้เสริม ได้พิจารณาธุรกิจกล้วยด่างว่าอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ” นายนิรินาทย์ กล่าว
ขณะที่ นายดำรงค์ชัย แสงกนึก ประชาชนที่มาร่วมชมไม้หายากตั้งแต่เวลา 09.00 น. กล่าวว่า สนใจการปลูกไม้ด่างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอทราบว่าเครือมติชนจัดงาน “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” จากเว็บไซต์ของมติชน จึงพาลูกสาวมาเดินดูพันธุ์ไม้ในงาน และเห็นว่าธุรกิจไม้ด่างเป็นอาชีพที่ดี คาดว่าจะกลับไปปลูกเพื่อสร้างรายได้เสริมต่อไป
“ดีใจที่เครือมติชนจัดงานนี้ขึ้น เพราะเป็นการนำเอาไม้ด่างที่หาชมได้ยากมาให้ประชาชนได้เข้าถึง เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ต้องการจะปลูกไม้ด่างเป็นอาชีพได้ทางหนึ่ง หากเสาร์-อาทิตย์นี้มีเวลาว่างก็จะกลับมาดูอีก” นายดำรงค์ชัย บอก
ต้นไม้จากร้าน ๑,๐๐๐ พฤกษาฟาร์ม ในโซน GREEN MARKET
รวมร้านไม้ด่างดังๆ ไว้ที่ “GREEN MARKET” ตลาดต้นไม้
ภายในงาน “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” ยังมีโซน “GREEN MARKET” ตลาดต้นไม้ จัดเต็มร้านไม้ประดับราคาน่าคบ และร้านสินค้าเกษตรแปรรูปให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝาก อาทิ ร้าน The Lord of the Garden สวนเดอะลอร์ด ร้าน Avatar Garden ร้าน ๑,๐๐๐ พฤกษาฟาร์ม จ.กาญจนบุรี กลุ่มขนุนทะวายปีเดียว T8 ประเทศไทย จ.จันทบุรี สวนสมบัติกล้วยด่าง จ.นนทบุรี ผลไม้หวานเจี๊ยบ จ.พิจิตร ฯลฯ
น.ส.พชรมน ศรีโคตร เจ้าของร้าน Alinn’ Rose ซึ่งนำกุหลาบหลายสายพันธุ์มาจำหน่ายใน GREEN MARKET บอกว่า เมื่อทราบว่าเครือมติชนจัดงาน “เกษตรมหัศจรรย์ วันเส้นทางเศรษฐี” ก็ไม่ลังเลที่จะมาออกร้าน เพราะได้พบปะลูกค้าที่ชื่นชอบกุหลาบและได้เจอลูกค้าหน้าใหม่ไปด้วยในคราวเดียวกัน
“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มวัยกลางคน กลุ่มนี้จะอยู่กับบ้านเลยเล่นต้นไม้เยอะ เวลาซื้อเขาจะไม่ซื้อครั้งเดียว จะกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ และเมื่อซื้อเสร็จก็จะให้เราไปจัดสวน ทำสวนให้จนเป็นลูกค้าต่อเนื่อง” เจ้าของร้าน Alinn’ Rose เผย
ชม “มหัศจรรย์พรรณไม้” จัดเต็มไม้ด่างหายากราคาแพง รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ช็อปต้นไม้ใน “GREEN MARKET” ตลาดต้นไม้ และเลือกหนังสือเกี่ยวกับเกษตรจากร้าน “มติชนบุ๊คคลับ” ได้ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00-18.00 น. ที่มติชนอคาเดมี