“ไก่ทอดพี่บ๊วย” ธุรกิจ อร่อยโหด กับข้อคิดธุรกิจจากความล้มเหลว

 

ผู้เขียน   กัญญ์วรา ศิริสมบูรณ์เวช

“อยากทำธุรกิจไก่ทอดเพราะเริ่มจากความชอบ นึกถึงสิ่งที่เรามี ความรู้สึกคือเคยไปแข่งรักบี้ พอแข่งเสร็จเหนื่อยๆ ไปกินข้าวเหนียวไก่ทอดอร่อยมากเลย ก็เลยเริ่มทำเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งก็สอนเราหลายอย่างเรื่องการจัดการ การดีลกับคน กับหุ้นส่วน ปัจจุบันปีที่ 5 ก็มาลงตัวที่ไก่ทอดพี่บ๊วย” ของพิธีกรอารมณ์ดี บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ อดีตนักรักบี้ทีมชาติไทยวัย 41 บอกยิ้มๆ ถึงที่มา

โดยถ้าย้อนไปจุดเริ่มต้น เขาเคยหุ้นกับพระเอกดัง เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และคนนอกวงการเปิด ร้านไก่ทอดเดชา ตรงถนนเกษตร-นวมินทร์ ตอม่อ 139 แม้จะคืนทุนตั้งแต่ 4 เดือนแรก แต่พอทำได้ 4 ปี รายจ่ายเท่าเดิม ส่วนรายได้กลับลดลงเรื่อยๆ พอหมดสัญญาจึงตัดสินใจไม่ทำต่อ แต่ได้ไปร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนใหม่ปรับปรุงต่อเติมส่วนห้องแอร์เพิ่ม เปิดเป็นร้านขายไก่ทอดควบคู่ราเมน และอาหารญี่ปุ่นในชื่อ อาจารย์ราเมนกับคุณครูไก่ทอด ทว่าสุดท้ายอยู่ได้เพียง 3 เดือนก็แยกย้ายกันไปคนละทาง

 

ด้วยพิธีกรหนุ่มให้เหตุผล “ก่อนหน้านี้ถือหุ้นน้อย เราอยากได้สตางค์โดยไม่ต้องทำอะไร ก็คิดอย่างนี้ ยกร้านให้หุ้นส่วนบริหาร มันไม่ได้ตามเป้า ยอดไหลแต่กำไรนิดเดียวเลยคิดว่าเสียเวลาอย่าทำเลย เห็นว่าใกล้จะหมดสัญญากับหุ้นส่วนแล้วแนวทางไม่ตรงกัน ถามว่ามีปัญหากับหุ้นส่วนจริงมั้ย พูดจริงๆ ก็มี แต่ไม่ได้ทะเลาะกัน มันไม่ใช่ เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไปด้วยกันไม่ได้ก็แค่แยกย้าย”_

แม้รู้ทั้งรู้ว่าการเปลี่ยนหุ้นส่วนบ่อยๆ อาจเสี่ยงต่อการถูกใครๆ มองในแง่ลบ แต่เขากลับว่า “ไม่เป็นไร”

“อากาศกับทัศนคติเป็นของฟรี คนมองแง่ลบไม่มีปัญหา ถ้าทุกคนมองแง่บวกหมดเลยก็อะเมซิ่ง พูดตรงๆ ว่าถ้าเป็นข้อคิดเห็น เราไม่ฟัง ถ้าเป็นความจริงเราจะฟัง เราผ่านมรสุมมาเยอะ ที่ได้มาคือทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่โกงใคร อย่างชีวิตคู่ถ้าไม่เวิร์กจะทู่ซี้ทำไม ธุรกิจก็เหมือนกัน”

“สิ่งที่ทำคือ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เราศึกษาธุรกิจมาเยอะ คนไม่ค่อยมองสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มองแต่อย่างนี้ เรารู้ว่าเรามีทัศนคติในการมองโลกแบบหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับคนอื่น ถือว่าไม่เดือดร้อนใคร ไม่โกงใคร ให้มั่นใจได้ว่าถ้าเราโกงต้องมีการฟ้องร้อง”

มั่นใจในความถูกต้องของตัวเองและยังอยากทำธุรกิจต่อ จากนั้นบ๊วยเลยเข้าหุ้นกับเจ้าของโรงแรมที่บุรีรัมย์คนละครึ่ง เพื่อลงทุนในหลักล้านจัดการปรับปรุงร้านเดิมเสียใหม่ทำเป็นร้าน “ไก่ทอดพี่บ๊วย” ชื่อสั้นๆ จำง่าย ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “อร่อยโหด” ซึ่งนอกจากไก่ทอดรสเข้มข้น ยังเพิ่มเมนูขนมจีนบ้าพลังของหุ้นส่วน และส้มตำรสเด็ดเข้ามาด้วย

 

“เหมือนแบ็กทูเบสิก ไก่ทอดส้มตำ ไม่ค่อยเจอที่อร่อยพร้อมกัน เรามีไอดอลคือ ร้าน “ส้มตำนัว” หลายสิบปีที่แล้วเราเป็นลูกค้ารายแรกๆ ใครจะคิดว่าส้มตำเปิดที่สยามได้ เพราะฉะนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำอาหารง่ายๆ ที่หาอร่อยได้ยากให้มันอร่อย เราเลยคิดตีโจทย์นี้”_-_

สำหรับไก่ทอดนั้นหายห่วง เพราะสูตรเด็ดจากนครศรีธรรมราชของ เอกชัย ศรีวิชัย ที่มอบให้ นำมาปรับปรุงทำให้ได้ไก่กรอบนอกนุ่มในรสชาติเข้มข้น ยิ่งทานคู่หอมเจียวร้อนๆ เติมฟรีไม่อั้น ยิ่งได้ใจจนลูกค้าออกปากว่า “ไก่ทอดอร่อยเหมือนเดิม” แม้จะเปลี่ยนชื่อร้าน

ส่วนส้มตำที่เดิมเคยถูกติว่าไม่จี๊ดจ๊าดถูกใจนักก็จัดการหาแม่ครัวฝีมือดีมาช่วยปรุง ขณะเดียวกัน นักร้องน้องรัก ก้อง ห้วยไร่-อัครเดช ยอดจำปา ยังมาช่วยคิดเมนูเด็ดให้ฟรีๆ จนได้ “ส้มตำนัว ก้อง ห้วยไร่” มาเป็นจุดขายอีกเมนู ส่วนเรื่องราคาอาหารนั้น คนทำย้ำว่า “พกมาร้อยกว่าบาทก็จุกแล้ว”

“ตอนนี้ถ้าพูดจริงๆ ความจริงจังระดับชีวิตมันแตกต่างกัน แต่ก่อนไม่แปลกที่มันจะเจ๊ง แค่ทำธุรกิจปากบอกว่าอยาก ทำแค่อยากกับทุ่มเทเต็มที่ ผลลัพธ์ต่างกัน” บ๊วยว่า

และบอก “สิ่งที่ทำตอนนี้่เป็นระบบ รสชาติอาหารเราถึงนิ่ง ถึงอร่อยได้ ทำ 10 จานรสชาติต้องเหมือนเดิม ทำ 1,000 จานก็ต้องเหมือนเดิม อันนี้เรามีหุ้น 50-50 แต่เราก็เข้ามาบริหารจัดการเอง 100 เปอร์เซ็นต์ ดูทุกอย่างตั้งแต่ขั้นตอนการปรุง หรือมีปัญหาก็ต้องแก้ไข อย่างไก่ซื้อกลับบ้านต้องเวฟกี่นาทีถึงอร่อย เรื่องพวกนี้ต้องตอบให้ได้”

 

“ข้อคิดที่ได้จากครั้งก่อนๆ คือ เรื่องของการทำธุรกิจเราควรรู้ทั้งหมด รู้ทุกอย่าง 1. ควรลงไปรู้ทุกกระบวนการ 2. ทำทุกอย่างให้เป็นตัวเลขเพราะตัวเลขโกหกไม่ได้ 3. ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์”

มุ่งมั่นขนาดนี้จึงไม่แปลกหากเขาจะหวังกับธุรกิจนี้ไว้มาก ถึงขนาดว่าอยากให้เป็นอนาคตของครอบครัว และตั้งใจนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายใน 5 ปี1

“อยากให้ธุรกิจนี้เป็นของครอบครัว เขาจะทำยังไงถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ เราตายไป คือชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง พ่อแม่ถึงวัยเกษียณแล้ว ความตั้งใจคืออยากต่อยอดถึงที่บ้าน วางระบบไว้ต่อไปในอนาคตถ้าใครจะมาร่วมกับเราก็เวิร์ก แล้วก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ เรามีตลาดของเราอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีไก่ทอดไม่มีแบรนด์คนไทยขึ้นตลาดหลักทรัพย์ เราคิดใหญ่เลย” เจ้าตัวบอกอย่างจริงจัง

แล้วเล่าว่า ตอนนี้นอกจากเขาที่เข้าร้านเกือบทุกวันที่ว่างเพื่อไปดูแลลูกค้า คนในครอบครัวยังแบ่งหน้าที่กันมาดูแล เช่น น้องถนัดบัญชีก็ทำบัญชีไป คุณแม่ชอบขายของก็รับหน้าที่นั้น ส่วนพี่สาวหลังจากตกแต่งร้านตามความสามารถที่เรียนมาด้านศิลปะยังช่วยเป็นผู้จัดการร้านอีกตำแหน่ง

โดยหลังจากเปิดร้านมาได้ไม่นาน ผลตอบรับนับว่าน่าพอใจ เพราะมีลูกค้าประจำแวะเวียนมาอุดหนุนตลอด ขณะเดียวกัน ก็มีคนสนใจชวนไปเปิดสาขาใหม่ๆ เช่น ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังนั้น เขาจึงพยายามรักษามาตรฐานเช่นนี้ไว้ให้ได้ดีที่สุด

ซึ่ง “ถ้าใครมีติชมเรื่องอาหาร เรื่องทำธุรกิจ เรารับฟังหมด เป็นกระจกทำให้เราพัฒนาไปต่อได้” บ๊วยย้ำ

ก่อนจะว่าทิ้งท้าย “เวลาทำงานไม่มีใครอยากล้มเหลว ไม่มีใครอยากเจ๊งหรอก แต่เขาลืมไปว่าทุกคนที่ประสบความสำเร็จมาได้ ต้องเคยล้มเหลว เคยเจ๊งมาก่อน มันเป็นเหรียญ 2 ด้าน บางคนไม่อยากสัมผัสมัน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็เอาสิ่งนี้ที่มาวิเคราะห์ แยกแยะดูว่าเราล้มเหลวเพราะอะไร หาคำตอบเติมให้มันเต็มจนไม่มีจุดบกพร่องแล้ว มันก็จะประสบความสำเร็จในสักวัน”

อย่างที่เขาพยายามเดินหน้ากับการเริ่มต้นใหม่นี้อย่างสุดความสามารถ