แม่บ้านสู้ชีวิต ลาออกจากงานเลี้ยงลูกป่วย ปลูกเมล่อนพันธุ์นำเข้า ขายรุ่งทางโซเชียล

แม่บ้านพลทหารในสังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ซึ่งลาออกจากงานประจำมาดูแลลูกที่ป่วยหนัก ใช้เวลาว่างจากการดูแลลูกมาปลูกเมล่อนขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวเป็นอย่างดี จากการลงพื้นที่ไปที่แปลงเกษตร เศรษฐกิจพอเพียง ภายในกองพลทหารช่าง 202 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบนางเบญจมาศ สังฆมณี อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ จ.ส.อ.นิกรกิจ สังฆมณี ข้าราชการทหารในสังกัดกองพลทหารช่าง 202 พบว่าบริเวณดังกล่าวได้มีการทำเป็นโรงเรือนปิด 1 โรง ภายในมีการปลูกเมล่อนในระบบน้ำหยดซึมนับร้อยต้น ซึ่งกำลังออกลูกใกล้ถึงเวลาเก็บผลผลิตอยู่เป็นจำนวนมาก

จากการสอบถามนางเบญจมาศ สังฆมณี เจ้าของโรงปลูกเมล่อนแห่งนี้ ได้รับการเปิดเผยว่าก่อนหน้านั้นตนได้ลาออกจากงานประจำในโรงงาน เพื่อมาดูแลลูกสาวที่ป่วย ซึ่งทำให้ครอบครัวต้องขาดรายได้ เพราะลำพังเงินเดือนของสามีก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว จึงใช้เวลาว่างจากการดูแลบุตรไปสมัครเข้าเรียนหนังสือที่ กศน.อำเภอเมืองนครราชสีมา ในระดับชั้นมัธยมปลาย ซึ่งทางศูนย์ กศน.ก็ได้พาไปศึกษาดูงานที่ฟาร์มของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ มทส. และเกิดมีความสนใจเรื่องการปลูกเมล่อนขาย เนื่องจากเป็นผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย ซึ่งเหมาะกับการปลูกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาก

201607311232101-20041020133743

ต่อมาจึงได้ปรึกษาสามี คือ จ.ส.อ.นิกรกิจ สังฆมณี เพื่อขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ขอใช้พื้นที่บริเวณแปลงเกษตรเศรษฐกิจพอเพียงของกองพลทหารช่าง 202 เพื่อใช้ทำโรงเรือนปลูกเมล่อน ซึ่งก็ได้รับอนุญาตด้วยดี จึงได้เริ่มลงทุนสร้างโรงเรือนเป็นจำนวนเงินประมาณ 30,000 บาท ใช้พื้นที่ 6X10 เมตร หลังจากนั้นก็ได้สั่งซื้อเมล็ดพันธุ์เมล่อนมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในราคาเมล็ดละ 8 บาท ล็อตละ 300 เมล็ด เป็นเมล็ดเมล่อนพันธุ์เท็นชิกับฮาโรน่า ซึ่งมีกลิ่นหอม รสชาติ หวาน กรอบ และอร่อยมาก เริ่มปลูกชุดแรกเมื่อต้นปี 2559 โดย 1 โรงเรือน สามารถปลูกได้จำนวน 170 ต้น ใช้ระบบน้ำหยดซึม 2 เวลา เช้า-เย็น ซึ่งประหยัดน้ำมาก เพียงแค่วันละ 40 ลิตร นอกจากนั้นก็จะมีค่าปุ๋ยสัปดาห์ละ 500 บาท ใช้เวลาตั้งแต่เตรียมแปลง จนถึงเก็บผลผลิต เป็นระยะเวลา 3 เดือน

โดยแต่ละรุ่นสามารถเก็บผลผลิตได้ประมาณ 1,200 กิโลกรัม น้ำหนักผลเมล่อนเฉลี่ยลูกละ 1.5 กิโลกรัม ซึ่งจะนำมาประกาศขายให้กับเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กและไลน์ ในราคากิโลกรัมละ 120 บาท ปรากฏว่าขายดีมาก จนเพื่อนๆ ต้องสั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่ลูกเมล่อนยังไม่โตเต็มที่ สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวต่อรุ่นประมาณ 15,000 บาท ทำให้ตอนนี้ต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาขอใช้พื้นที่เพื่อสร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 1 โรง เพื่อปลูกเมล่อนขายให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และวางแผนว่าหากมีผลผลิตจำนวนมาก ก็จะนำไปฝากขายที่ฟาร์ม มทส.อีกด้วย

 

ที่มา มติชนออนไลน์