กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ รวมกลุ่มปลูกพริกป้อนโรงงาน สร้างรายได้ 60,000-100,000 บาท ต่อไร่

คุณเล็ก เกตุนาค ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เลขที่ 70/3 หมู่ที่ 3 บ้านหนองโสน ตำบลเขาคิริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร โทร. (061) 684-1969

การทำแปลงปลูกพริก “ก็ต้องเตรียมดินให้ดี” การปลูกพืชหรือปลูกพริกให้งาม ต้องเตรียมดินให้ดี การเตรียมพื้นที่ปลูกพริก สำหรับเกษตรกรที่เริ่มต้นปลูกพริกในที่ดินใหม่ จะต้องเก็บตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์ อย่างน้อยที่สุดควรตรวจค่าความเป็น กรด-ด่าง ของดิน ดินที่เหมาะต่อการปลูกพริก ควรมีค่า pH = 6.0-6.8 ถ้าสภาพดินเป็นกรด จะต้องมีการปรับสภาพของดิน โดยใช้โดโลไมท์หรือปูนขาว ในการใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในแต่ละครั้ง ไม่ควรเกิน 300 กิโลกรัม ต่อไร่ ในการเตรียมพื้นที่ก่อนที่จะไถดิน ให้ใส่ปุ๋ยคอก อย่างน้อย ไร่ละ 1,000 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน เมื่อไถดินเสร็จ ให้ตากดินทิ้งไว้นาน 3-7 วัน หลังจากตากดินเสร็จ ก็จะเป็นขั้นตอนของการยกแปลงปลูก โดยแปลงปลูกควรจะสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ความยาวของแปลงขึ้นกับสภาพพื้นที่ แต่ความยาวของแปลงไม่ควรเกิน 50 เมตร ในการขึ้นแปลงจะใช้รถไถติดผาล 7 ขึ้นแปลงไป-กลับ 1-2 รอบ เมื่อขึ้นรอบสุดท้าย ให้ใช้เกรดรถไถปรับหลังแปลงให้เรียบเป็นแปลงพริก (ไม่ต้องเสียเวลาใช้แรงงานคน) จากนั้นจะเป็น

วางสายน้ำหยด หว่านปุ๋ยเคมีรองพื้น คลุมพลาสติกบนแปลง

ขั้นตอนการวางระบบน้ำ วางสายน้ำหยดบนแปลงปลูก อย่างการปลูกแถวคู่บนแปลงก็ต้องวางสายน้ำหยด 2 เส้น ตามแนวปลูกพริก จากนั้นปูพลาสติกคลุมแปลง นำดินมากลบชายพลาสติกคลุมแปลง ไม่ให้ลมตีพัดขึ้นมาเสียหาย เจาะหลุมปลูกตามระยะที่เราต้องการ หลุมที่เจาะควรมีความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 3.5-4 นิ้ว เนื่องจากถ้าเจาะพลาสติกให้มีขนาดรูเล็กเกินไป เวลาช่วงที่อากาศร้อนพลาสติกคลุมแปลงจะร้อนมากเช่นกัน ความร้อนจากพลาสติกคลุมแปลงจะทำให้โคนต้นพริกที่ได้ไอความร้อนเน่าได้ง่าย

การเพาะเมล็ดพริก เป็นการเริ่มต้นที่มีความสำคัญ การเพาะเมล็ดพริกที่เกษตรกรไทยนิยมปฏิบัติกัน จะแบ่งออกได้ 3 วิธี คือ

  1. หยอดเมล็ดลงในถาดเพาะโดยตรง ซึ่งจัดเป็นวิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุด
  2. หว่านในตะกร้าพลาสติกที่ใช้ทรายเป็นวัสดุปลูก แนะนำให้ใช้ทรายขี้เป็ดชนิดหยาบเป็นวัสดุเพาะ ขั้นตอนสำคัญจะต้องนำทรายไปต้ม เพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน รอให้ทรายเย็นลงแล้วนำมาใส่ในตะกร้าพลาสติก (อย่าลืมรองก้นตะกร้าด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์) หลังจากหว่านเมล็ดพริกลงตะกร้าแล้ว ให้กลบด้วยปุ๋ยหมักอินทรีย์หรือขุยมะพร้าวที่ร่อนเอากากออกแล้ว รดน้ำและพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อราเพื่อป้องกันโรคโคนเน่า การรดน้ำ อย่าให้แฉะจนเกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดพริกเน่าได้ สำหรับการเพาะเมล็ดพริกในฤดูร้อน หลังจากเพาะไปได้ 7-10 วัน ย้ายต้นกล้าลงถาดหลุม แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 วัน ถึงจะย้ายต้นกล้าลงถาดหลุมได้ เพื่อย้ายลงปลูกในแปลงต่อไป
  3. ใช้แปลงเพาะ เป็นวิธีการที่เกษตรกรไทยนิยมมากที่สุด เนื่องจากประหยัดต้นทุนการผลิต ขนาดของแปลงเพาะมีความกว้าง 2 เมตร ความยาว 5-10 เมตร เริ่มต้นจากการขุดพลิกดินและตากดินไว้นานประมาณ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้น ย่อยดินให้มีขนาดเล็กลง ใส่ปุ๋ยคอกเก่าหรือปุ๋ยหมักอินทรีย์ อัตรา 25 กิโลกรัม ต่อแปลง คลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันจนร่วนซุย เกลี่ยดินให้เรียบ นำเมล็ดพริกมาเพาะ โดยใช้อัตราพริก น้ำหนัก 50 กรัม ต่อพื้นที่ปลูกพริก 1 ไร่ จะต้องโรยเมล็ดให้ลึก ประมาณ 0.5 เซนติเมตร เป็นแถวตามความกว้างของแปลง แต่ละแถวห่างกัน ประมาณ 10 เซนติเมตร เสร็จแล้วให้กลบดินบางๆ ให้เสมอผิวดินเดิม แล้วใช้ฟางข้าวคลุมแปลงเพาะบางๆ รดน้ำที่ผสมสารป้องกันและกำจัดเชื้อรา
กล้าพริกนับแสนต้นที่ทางกลุ่มสั่งจากแหล่งเพาะกล้า

เมื่อเห็นต้นกล้างอกขึ้นมาเหนือพื้นดิน ค่อยๆ ดึงฟางออกให้บางลง เพื่อต้นกล้าจะได้เจริญเติบโตได้ดี ต้นกล้ามีจำนวนใบจริง 3-5 ใบ จะต้องพ่นสารป้องกันและกำจัดแมลงร่วมกับสารเคมีป้องกันโรคโคนเน่า อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ต้นกล้าพริกที่มีอายุเฉลี่ย 25-30 วัน มีความสมบูรณ์และต้นแข็งแรง ไม่มีโรครบกวน ให้ย้ายลงปลูกในแปลงได้ การย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หลังจากที่เตรียมขุดหลุมตามระยะปลูกเรียบร้อยแล้ว มีเทคนิคที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เกษตรกรมักจะมองข้ามคือ การย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ขณะที่จับต้นกล้าพริกออกจากถาดหลุม จะต้องจับบริเวณเหนือใบเลี้ยง (ใบคู่แรก) เพื่อป้องกันการบอบช้ำของเนื้อเยื่อบริเวณโคนต้นกล้า ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่เชื้อราเข้าทำลายได้ง่าย เป็นสาเหตุหลักของโรคเน่าคอดินตามมา หลังจากย้ายกล้าลงหลุมปลูกเสร็จภายในวันเดียวกัน หรืออย่างช้าวันรุ่งขึ้นจะต้องฉีดพ่นสารป้องกันและกำจัดเชื้อราในกลุ่มสารเมทาแลคซิล หรือใช้ยาอาลีเอทก็ได้

คุณเล็ก นาคเกตุ กับแปลงพริกที่รอเปลี่ยนเป็นสีแดงก็จะพร้อมเก็บส่งโรงงาน

แต่คุณเล็ก อธิบายว่า เพื่อความสะดวกและให้เหมาะสมกับจำนวนการใช้ต้นกล้านับแสนต้นในแต่ละปี ปัจจุบัน ทางกลุ่มได้สั่งกับแหล่งที่รับเพาะกล้าโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความชำนาญและสถานที่เพาะที่เหมาะสม สามารถควบคุมโรคและแมลงกับต้นกล้าได้เป็นอย่างดี จนวันส่งมอบต้นกล้าพริกให้เกษตรกร ซึ่งตอนนี้ต้นทุนที่ซื้อมา ต้นละ 1 บาท แต่ถ้าซื้อเมล็ดมาเพาะเอง ดูแลกล้าพริกเอง คำนวณค่าใช้จ่ายแล้วก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก

หลังจากที่ย้ายต้นกล้าพริกลงหลุมปลูกแล้ว การใช้ไม้หลักปักค้ำต้นพริกมีความจำเป็นและสำคัญเช่นกัน ถ้าหากปักหลักต้นพริกช้าเกินไป รอจนรากของต้นพริกเดินกระจายทั่วแล้ว จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเหี่ยวที่เกิดจากแบคทีเรีย เพราะหลักที่นำไปปักทีหลังหรือปักช้าเกินไปนั้น ปักไปโดนกับส่วนของรากเสียหายและเกิดบาดแผล เชื้อเข้าทำลายระบบท่อน้ำและท่ออาหารได้

ดังนั้น เกษตรกรที่จะปลูกพริกในเชิงพาณิชย์ จะต้องมีการเตรียมไม้หลักไว้ล่วงหน้า โดยคำนวณจากต้นพริกที่ปลูก ในพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกแบบแถวคู่ จะมีจำนวนต้น ประมาณ 3,200 ต้น ก็เตรียมไม้หลักจำนวนเท่ากัน ปกติขนาดของไม้หลัก ควรจะมีความสูง 60-80 เซนติเมตร หลังจากปลูกพริกไปได้ 50-70 วัน จะต้องมีการปักไม้หาบต้นพริกหรือล้อมด้วยเชือก เพื่อช่วยพยุงต้นพริกไม่ให้หักโค่น หรือกิ่งฉีกหักจากการรับน้ำหนักของผลผลิตที่มีความดก แนะนำให้ใช้ไม้ไผ่ที่มีความยาว 1.20 เมตร ปักคู่กันระหว่างต้นพริกด้านซ้ายและด้านขวา จากนั้นใช้ไม้อีกอันหนึ่งวางขวางด้านบนสุด มัดเชือกให้แน่น โดยจะทิ้งช่วงของการปักไม้เป็นระยะ ทุกๆ 3 เมตร จากนั้นก็มัดเชือกทั้งข้างซ้ายและข้างขวาให้ยาวตลอดแนวแถวแปลงพริก ดึงเชือกให้ตึงในแต่ละช่วง จะช่วยให้ต้นพริกไม่โค่นล้มได้ง่าย

ปุ๋ยต้องเรียนรู้เพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิต การใช้ปุ๋ยในการปลูกพริก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นปุ๋ยที่มีความจำเป็นในการปลูกพริกทุกครั้ง ใส่เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดิน ช่วยให้ร่วนซุย จะมีการใส่ปุ๋ยคอกก่อนการไถพรวน ในอัตรา อย่างน้อย 1 ตัน ต่อไร่ และจะใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์รองก้นหลุมก่อนปลูกพริก ในอัตรา 250 กิโลกรัม ต่อไร่ ในส่วนที่ 2 คือ

ปุ๋ยเคมี ทางดินจะให้อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง สูตรที่ใช้ยืนพื้น คือ ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 16-16-16 ผสมกับ แคลเซียมไนเตรต (สูตร 15-0-0) เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของต้นและใบ ซึ่งแคลเซียมไนเตรต (สูตร 15-0-0) นอกจากจะช่วยเร่งการเติบโตทางต้นและใบ เพื่อช่วยลดปัญหาการขาดธาตุแคลเซียม วิธีการสังเกตต้นพริกที่ให้ผลผลิตดกเกินไป อาจจะพบอาการขั้วนิ่ม ปลายผลเหลืองและร่วง หรือที่หลายคนเรียกกันว่า อาการ “กุ้งแห้งเทียม” แสดงว่าต้นพริกขาดธาตุแคลเซียม ในส่วนของปุ๋ยทางใบ มักจะมีการฉีดพ่นควบคู่กับการฉีดพ่นสารปราบศัตรูพืช

สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง ที่ใช้จะเน้นการใช้ป้องกันเพลี้ยไฟ คือ พวกอิมิดาคลอพริด (เช่น โปรวาโด, สลิง เอ็กซ์, เสือพรีอูส, โคฮีนอร์), อะบาเม็กติน (เช่น โกลแจ็กซ์, แจคเก็ต)สไปนีโทแรม (เช่น เอ็กซ์ซอล จะเก่งเพลี้ยไฟและหนอนเจาะผลระบาดโดยเฉพาะช่วงพริกมีผลขนาดเล็ก เน้นการใช้ในช่วงวิกฤตหรือพบการระบาดมาก)

มีการรองก้นหลุมปลูกพริก ด้วยสารสตาร์เกิ้ล-จี (ชื่อสามัญ ไดโนทีฟแรน) รองก้นหลุมหรือโรยรอบโคนต้น : อัตรา 2 กรัม ต่อต้น ต่อหลุม ปลูกเพื่อป้องกันเพลี้ยต่างๆ และแมลง ในช่วงแรกในการปลูกพริก สามารถคุมได้นานนับเดือน มีประสิทธิภาพออกฤทธิ์ควบคุม และกำจัดแมลงได้ยาวนาน 30-45 วัน ป้องกันกำจัดแมลงบนดิน เช่น เพลี้ยจักจั่นฝ้าย เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ หนอนแมลงวันชอนใบ หนอนแมลงวันเจาะลำต้น ด้วงเต่าแตง และแมลงใต้ดิน เช่น มด ปลวก ด้วงดิน เสี้ยนดิน เป็นต้น กำจัดแมลงปากดูดที่เป็นพาหะของโรคต่างๆ ได้ดีเยี่ยม

ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ พัทลุง ปลูกดีปลี “1 ประตู” รายได้ 5,000 บาท

ส่วนเรื่องโรคเชื้อราก็เน้นการป้องกัน โรคกุ้งแห้ง หรือ แอนแทรกโนส จากเชื้อรา พบได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพริก พบการแพร่ระบาดของโรคมากในช่วงฤดูฝน โรคกุ้งแห้ง มักพบอาการบนผลพริกที่เริ่มสุกหรือผลพริกก่อนจะเปลี่ยนสี เริ่มแรกมีแผลจุดช้ำสีน้ำตาลบุ๋มยุบตัวลึกลงเล็กน้อยในผิวผลพริก ต่อมาแผลขยายออกเป็นวงรีหรือวงกลมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าอากาศชื้นบริเวณแผลจะมีเมือกเยิ้มสีส้มอ่อนๆ แต่หากแสดงอาการที่ผลอ่อนจะทำให้ผลพริกโค้งงอบิดเบี้ยวลักษณะคล้ายกุ้งแห้ง หากสำรวจพบพริกแสดงอาการโรค ควรเก็บผลพริกเป็นโรคออกจากแปลงไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที หากเริ่มพบการระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ (เช่น ฟังกูราน) ใช้อัตรา 10-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันกำจัดโรคผลเน่า โรคเน่าเปียก โรคแอนแทรกโนส (โรคกุ้งแห้ง) ฉีดสลับกับสารแมนโคเซบ กลุ่มยาสัมผัส เป็นสารกำจัดโรคพืชที่สามารถควบคุมเชื้อราสาเหตุโรคพืชได้อย่างกว้างๆ ถ้ามีการระบาดระดับรุนแรงจะไม่สามารถแสดงผลควบคุมโรคได้ดีพอ ในกรณีที่ระบาดรุนแรง ก็จะต้องสลับสารป้องกันกำจัดเชื้อราที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น อะซ็อกซีสโตรบิน (เช่น มิราโด อมิสตา) ซึ่งเป็นสารป้องกันกำจัดโรคพืชประเภทดูดซึม

นำพริกขึ้นรถขนส่งไปยังโรงงาน

เทอร์ราคลอร์ ซุปเปอร์-เอ็กซ์ (ชื่อสามัญ อีทริไดอะโซล+วินโทซีน) ใช้ป้องกันกำจัดโรคในพืชชนิดต่างๆ เช่น โรครากเน่าโคนเน่าได้ดี มักจะฉีดพ่นลงดินบริเวณโคนต้นพริก โรครากเน่าโคนเน่า มักเกิดในระยะพริกโตเต็มที่ ช่วงออกดอกติดผล อาการเริ่มแรกจะมีใบเหลืองและร่วง หากระบาดรุนแรง ต้นพริกจะเหี่ยวและยืนต้นตาย…โคนต้นจะมีเชื้อราเส้นใยสีขาวรวมเป็นก้อนกลม จากนั้นจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลดำคล้ายเมล็ดผักกาด (ราเม็ดผักกาด)

คุณเล็ก นาคเกตุ เล่าว่า เกษตรกรผู้ปลูกพริกหนักใจเรื่องโรคเชื้อรามากกว่าแมลงศัตรู การใช้สารเคมี จะต้องหยุดฉีดก่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ หลังการเก็บพริกส่งโรงงานเสร็จ ก็จะเริ่มฉีดพ่นสารเคมีตามขั้นตอนต่อไป คือเราต้องใส่ใจในการผลิตพริกที่ปลอดภัยสารเคมีด้วย และไม่ให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง ซึ่งทางบริษัทที่รับซื้อจะมีการตรวจสอบสารตกค้างทุกครั้งที่นำผลผลิตไปส่ง