ชาวบ้าน จ.หนองบัวลำภู หยุดรับจ้าง หันมาเพาะเห็ดฟาง สร้างรายได้เดือนละหกหลัก

ชาวบ้านพันดอน หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง มีที่ดินเป็นของตนเองน้อย รายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้จ้าง บางรายจึงเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย โดยใช้ที่ของเพื่อนบ้าน ย้ายที่เพาะไปเรื่อยๆ แต่เมื่อมีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการเปิดโอกาสให้ชุมชนเสนอโครงการตามความต้องการ ทำให้ชาวบ้านพันดอนแห่งนี้ได้มีอาชีพที่มั่นคง ทำรายได้ในระดับน่าพอใจ

แรงบันดาลใจ

คุณสมเดช ศิริวงศ์ (ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9) โทร. (087) 214-6499 ประธานกลุ่มเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนบ้านพันดอน เล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านพันดอน มีพื้นที่ทำการเกษตรเป็นของตนเอง ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประกอบอาชีพทำไร่อ้อยและนาข้าว อีกราว 65 เปอร์เซ็นต์ มีอาชีพรับจ้าง (ผู้สูงวัยเลี้ยงหลาน วัยแรงงานรับจ้างต่างจังหวัด บางส่วนรับจ้างในพื้นที่) ต่อมาเมื่อประมาณ 5 ปี ที่ผ่านมา ได้เริ่มนำเห็ดฟางแบบกองเตี้ยมาเพาะในหมู่บ้าน จึงมีชาวบ้านให้ความสนใจเพาะ เนื่องจากอายุสั้น ให้ผลผลิตเร็ว ประมาณ  2 สัปดาห์ ก็ทำเงินได้แล้ว แต่มีปัญหาคือ การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย ต้องย้ายที่ใหม่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากหากใช้ที่เดิมจะเกิดโรค ผลผลิตไม่ดี ประกอบกับชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ไม่มีพื้นที่ บางรายไปขอใช้ที่ของคนอื่นเพาะ

คุณสมเดช ศิริวงศ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9 ประธานกลุ่มฯ

 

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส จากรับจ้าง เป็นเจ้าของกิจการ

ดังนั้น เมื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน จึงได้จัดประชาคมหมู่บ้านและได้เสนอโครงการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน โดยใช้ที่โรงเรียนเก่าของหมู่บ้านเป็นสถานที่ดำเนินการ สมาชิก 42 ราย โดยใช้พื้นที่จำกัดและที่สำคัญเพาะได้ตลอดปี โดยไม่ต้องย้ายที่ใหม่ไปเรื่อยๆ ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา งบประมาณ 500,000 บาท ค่าแรง 250,000 บาท (ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์) ค่าวัสดุ  244,900 บาท

 

การสร้างโรงเรือน

  1. ขนาด กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร สูง 4 เมตร หลังคาทรงหน้าจั่ว โครงหลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มัดด้วยเศษผ้าเก่า (ไม่ใช้ตะปู)
  2. ภายในโรงเรือนสร้างชั้นเพาะเห็ด ขนาด กว้าง 1.30-1.50 เมตร 3 ชั้น แต่ละชั้นห่างกัน 60-70 เซนติเมตร จำนวน 2 แถว(ซ้าย-ขวา) มีทางเดินตรงกลาง แต่ละชั้นปูด้วยไม้ไผ่ จากนั้นนำซาแรนหรือมุ้งเขียวมาปูทับอีกชั้นหนึ่ง (เพื่อไม่ให้วัสดุเพาะร่วงหล่น)
  3. หลังคาและภายในโรงเรือนบุด้วยผ้าพลาสติก ด้านนอกล้อมด้วยซาแรน
  4. ติดเครื่องวัดอุณหภูมิไว้ภายในโรงเรือน เพื่อควบคุมให้เหมาะสมต่อการออกดอก

ส่วนผสมและวัสดุเพาะ (ต่อ 1 โรงเรือน)

  1. เปลือกมันสำปะหลัง 4 ตัน
  2. ปุ๋ยคอก (มูลวัว มูลควาย) 12 กระสอบ (กระสอบละ 25-30 กิโลกรัม)
  3. มูลหมู 2 กระสอบ
  4. รำอ่อน 50 กิโลกรัม
  5. หัวเชื้อเห็ดฟาง 36 ก้อน (36 กิโลกรัม)

ขั้นตอนการเพาะ

  1. นำส่วนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปวางบนชั้นในโรงเรือน ความหนา ประมาณ 8 เซนติเมตร
  2. อบฆ่าเชื้อด้วยเตาอบไอน้ำ โดยจุดไฟที่เตา จะเกิดไอน้ำ ที่ต่อท่อไปยังโรงเรือน ที่อุณหภูมิ 65-70 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อฆ่าเชื้อที่อยู่ในโรงเรือนและวัสดุเพาะ ทิ้งไว้ 1 คืน
  3. เปิดโรงเรือนระบายอากาศออก (เปิดประตูหน้า และประตูหลัง) ประมาณ 2 ชั่วโมง
  4. เมื่อเย็นแล้ว นำเชื้อเห็ดมาขยำให้ละเอียด นำไปโรยบริเวณผิวหน้าของวัสดุเพาะให้กระจายสม่ำเสมอ (หัวเชื้อ 6 ก้อน/ชั้น)
  5. รดน้ำให้เปียก โดยใช้ฝักบัว แล้วปิดโรงเรือน
  6. ปล่อยทิ้งไว้ 2 วัน 2 คืน เชื้อจะเริ่มสร้างเส้นใย เมื่อเริ่มออกสีเหลืองเล็กน้อยให้รดน้ำจนเปียก หรือเรียกระยะนี้ว่า ระยะตัดเชื้อ แล้วปิดโรงเรือน
  7. ปล่อยทิ้งไว้อีก 2 คืน จะเริ่มเห็นดอกเห็ด แต่ยังไม่โต รออีก 1-2 วัน จะเริ่มเก็บเห็ดได้ ทั้งนี้ จะต้องรักษาอุณหภูมิให้ได้ประมาณ 32 องศาเซลเซียส

จะเก็บดอกเห็ดได้หลังเพาะ 7 วัน และเก็บต่อเนื่องอีกประมาณ 7 วัน โดยใช้เวลาในการเพาะแต่ละรุ่น ประมาณ 15 วัน หรือเดือนละ 2 รุ่น เก็บผลผลิตช่วงเช้ามืด วันละ 50 กิโลกรัม/โรงเรือน โดยเฉลี่ย 1 โรงเรือน จะได้ผลผลิตรวมประมาณ 350 กิโลกรัม

เตาอบไอน้ำฆ่าเชื้อในโรงเรือน ก่อนโรยเชื้อเห็ด

ตลาดต้องการสูง

มีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่ ในราคาขายส่ง กิโลกรัมละ 55 บาท รับจำนวนมาก ไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยแม่ค้ารายนี้ยังกระจายให้แม่ค้ารายย่อยในจังหวัด ต่างจังหวัดหลายรายและบางส่วนส่งออกไป สปป. ลาว ด้วย มีรายได้ ประมาณ 19,000-20,000 บาท/โรงเรือน/รุ่น โดยกลุ่มมีโรงเรือน จำนวน 4 โรง หรือสามารถทำรายได้ประมาณ 160,000 บาท/เดือน

“ในด้านการผลิต กลุ่มได้ทดลองนำผักตบชวาซึ่งเป็นวัชพืชน้ำ มาเป็นส่วนผสมของวัสดุเพาะ ปรากฏว่า ทำให้ดอกเห็ดโตมาก ได้น้ำหนักมาก และยังลดต้นทุนอีกด้วย”

 

นำผักตบชวามาผสมทำให้ดอกโต

ความยั่งยืน หรือการต่อยอดโครงการ

  1. กลุ่มสามารถเพาะเห็ดฟางป้อนตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดปี ทำให้มีงานทำ มีรายได้ต่อเนื่อง
  2. รายได้จากการจำหน่ายเห็ด จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นต้นทุนค่าวัสดุในการเพาะ ส่วนที่ 2 หักเข้ากลุ่ม ส่วนที่ 3 ปันผลค่าแรงงานให้กับสมาชิก
  3. สมาชิกบางรายเริ่มเห็นช่องทางเพิ่มรายได้ จึงลงทุนสร้างโรงเรือนในที่ของตนเอง (ที่อาศัย) ขณะนี้มีประมาณ 20 ราย ซึ่งทำให้สมาชิกมีงานทำตลอดปี มีอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น
พ่อค้ามารับถึงที่ ไม่เพียงพอกับความต้องการ

คุณชนะ ไชยฮ้อย เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า จังหวัดหนองบัวลำภู ได้ดำเนินโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

  1. เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ด้วยการน้อมนำหลักการทฤษฎีใหม่ และแนวทางแก้ปัญหาด้านการเกษตรต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานไว้
  2. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชน
  3. เพื่อให้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และเครือข่ายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาภาคการเกษตรของชุมชนมีส่วนร่วมแบบประชารัฐอย่างยั่งยืน

โดยจังหวัดหนองบัวลำภู ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ 74 ชุมชน ชุมชนละ 2 ล้าน 5 แสนบาท แต่ละชุมชนจะทำ 1 โครงการ หรือมากกว่าก็ได้ แต่ละโครงการต้องเป็นค่าจ้างแรงงานไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ส่วนที่เหลือเป็นค่าวัสดุ มีกลุ่มเสนอโครงการ 118 โครงการ เงิน 185 ล้านบาท ดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามโครงการเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม จากนั้นทำให้เกิดกองทุนและดำเนินการเพื่อให้เกิดอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งจากการดำเนินการขณะนี้ได้สร้างอาชีพที่มั่นคง รวมทั้งขยายผลแก่เกษตรกรรายอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้มีรายได้และความเป็นอยู่ดีขึ้น

จะเห็นว่า โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ ได้ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสดีๆ ให้กับผู้ที่ขาดโอกาส เกิดกลุ่มที่เข้มแข็ง เกิดความยั่งยืน และจะเป็นย่างก้าวที่สำคัญที่จะนำพาเกษตรกรไปสู่การเกษตร 4.0