บวบงู ปลูกง่าย ขายดี สร้างเงินหลักหมื่นต่อเดือน ตลาดทางภาคอีสานตอบรับดี

บวบ  นับเป็นพืชผักที่มีคุณประโยชน์สูง สายพันธุ์บวบที่เกษตรกรนิยมปลูกอย่างแพร่หลายคือ  บวบเหลี่ยม  บวบหอม นอกจากนี้ยังมีบวบอยู่พันธุ์หนึ่งซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักกันแพร่หลายนัก คือ บวบงู

นอกจากมีจุดเด่นในเรื่องรสชาติความอร่อยแล้ว บวบงู ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยมสูงในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคอีสาน

“บุญทา ดวงอ้อย” เกษตรกรผู้ปลูกบวบงู ที่บ้านทับพุง ต.หนองแสง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี เป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงได้ในเรื่องนี้ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา บวบงู กลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่ทำเงิน สร้างฐานะและความเป็นอยู่ของครอบครัวแห่งนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคง

บุญทา ยึดอาชีพปลูกผักมากกว่า 20 ปี เขาปลูกพืชผักตามกระแสความต้องการของตลาดเป็นหลัก พืชตัวไหนที่ปลูกง่าย ขายดี ตลาดต้องการสูง เช่น ผักกาด แตงกวา ผักชีลาว หรือ อ้อย เขาลงทุนปลูกมาหมดแล้ว

ที่ผ่านมา ชาวอีสานจำนวนมากนิยมบริโภคพืชประจำท้องถิ่น คือ “บวบงู” ที่มีชื่อพื้นบ้านอีสานว่า บักงอเงี้ยว บักงูเงี้ยว หรือบักกะดิง ส่วนคนเหนือ เรียกว่า มะนอยงู คนอีสานนิยมนำผักชนิดนี้ไปลวก หรือนึ่ง จิ้มแจ่ว กินแซ่บหลายๆ        บวบงูที่นิยมปลูกแพร่หลายในถิ่นอีสานมี 2 พันธุ์ คือ “พันธุ์สีขาว” ที่มีขนาดผลใหญ่ บางผลมีความยาวถึง 1 เมตร แต่มีข้อเสีย คือ มีรสชาติไม่ค่อยอร่อย เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกบวบงู “พันธุ์ลายเขียวขาว” ซึ่งมีขนาดผลเรียว สั้น รสชาติดีกว่าชนิดแรก

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว บุญทาเริ่มปลูกบวบงู บนเนื้อที่ 3-4 ไร่ ซึ่งเป็นบวบงูสายพันธุ์พื้นเมือง ผิวไม่สวย ผลมีลักษณะงอบิดเบี้ยว เมื่อนำผลผลิตออกจำหน่ายที่ตลาดอุดรเมืองทอง จำนวน 1 คันรถ โดยขายส่งในราคา กก.ละ 5 บาท ปรากฏว่า ทั้งวันขายบวบงูได้แค่ครึ่งคันรถเท่านั้น บุญทา บอกว่า สาเหตุที่ขายสินค้าไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะคนอีสานบางท้องที่ก็ยังไม่รู้จักพืชผักชนิดนี้ บางคนรู้จักแต่ไม่ซื้อ เพราะไม่ชอบกลิ่นฉุนของบวบงู

“บวบงู เป็นพืชที่ปลูกดูแลง่าย ใช้เวลาปลูก 2 เดือน เก็บเกี่ยวผลผลิตไป 50 -60 วัน ปัจจุบันผมเก็บผลผลิตออกขาย ที่ตลาดอุดรเมืองทอง เฉลี่ยวันละ 150 ถุง ถุงละ 5 กก. ขายส่งถุงละ 60–80 บาท  เฉลี่ย กก.ละ 12 –16 บาท แม่ค้าที่รับซื้อจะนำไปขายปลีกในราคากก.ละ 20-25 บาท แม่ค้าบางรายเหมาบวบงูไปขายต่อที่จังหวัดกาฬสินธ์ุ ในราคาขายส่งถุงละ 100 บาท” บุญทา กล่าว

เมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้บุญทาตัดสินใจขยายพื้นที่ปลูกบวบงูอย่างเดียวถึง 20 ไร่ โดยทั่วไป บวบงูสามารถเพาะปลูกได้ทุกเดือน แต่ช่วงที่ให้ผลผลิตสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน บุญทาวางแผนการปลูกบวบงูอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเนื้อที่ปลูกบวบงู  5 ไร่ ทยอยปลูกใหม่ทุกๆ  4 เดือน เพื่อให้มีสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

บวบงู สามารถเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด การเตรียมดินเริ่มจากขุดหลุมปลูกกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุม 1 เมตร ตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 4-5 วัน หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหลุมละ 2-3 กิโลกรัม ปูนขาว 1 กระป๋อง นมข้นหวาน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน จึงจะนำต้นกล้ามาปลูก

ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็ก

การเตรียมต้นกล้า ใช้เมล็ดพันธุ์ แช่ในน้ำอุ่นประมาณ 2 ชั่วโมง นำขึ้นมาห่อด้วยผ้าทิ้งไว้ 2-3 วัน เมล็ดเริ่มแตกหน่อ นำไปเพาะในถาดเพาะกล้า ซึ่งบรรจุด้วยปุ๋ยดินหมักชีวภาพ ดิน และแกลบดำ อย่างละเท่าๆ กัน เมื่อต้นกล้าแตกใบจริงคู่ที่ 2 จึงย้ายปลูก

หากฝนไม่ตก ควรรดน้ำทุกวัน ให้พอดินชุ่ม น้ำไม่ขังในแปลงปลูก ดูแลใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลังปลูกได้ 1 สัปดาห์ ประมาณ 1 กำมือ ต่อหลุมห่างจากต้นประมาณ 1 ฝ่ามือแล้วทำการกลบดินบริเวณรอบหลุมใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินอีก 1 กระป๋องนม หลังจากนั้นใส่ปุ๋ย13-13-21ห่างกัน 15 วัน ต้นละ 1 กำมือ

เนื่องจากบวบงูเป็นประเภทไม้เถา ควรเตรียมค้างหรือร้าน โดยใช้ไม้ไผ่ทำร้านสูงประมาณ 2 เมตร ให้สามารถเดินได้สะดวก เมื่อทำโครงเรียบร้อยแล้ว ใช้อวนตาข่ายขึงด้านบนให้ตึง บวบสามารถเลื้อยบนร้านได้ตลอด ยอดไม่ตกหรือย้อยลงด้านล่าง

การดูแล ขณะต้นกล้าที่ย้ายมา ยังเล็กอยู่ จะมีเต่าทองมาคอยทำลาย เจาะใบ ควรป้องกันโดยการล้อมกรอบ ต้นกล้าด้วยหนังสือพิมพ์ โดยปักหลัก 4 หลัก ควรใช้ต้นกล้วยมาผูกเถาของบวบงู ติดค้างจนถึงร้านบวบงู  คอยปลิดแขนงออก ให้มียอดเถาเดียว ขึ้นร้าน แต่เมื่อขึ้นบนร้านให้มีหลายแขนงยิ่งดี จะมีผลดก

ผลบวบงูช่วยบำรุงร่างกาย แก้กระหายน้ำ ขับพยาธิ และ แก้ท่อน้ำดีอุดตัน

นอกจากนี้ ควรเติมปุ๋ยหมักชีวภาพอยู่เสมอๆ ทุกๆ 15 วัน และรดน้ำให้ชุ่ม  ฉีดพ่นน้ำหมักสะเดา ทุกสัปดาห์  ทำการตัดใบที่เป็นโรค ยอดที่ไม่สมบูรณ์ออก ไม่ปล่อยให้ใบบวบทับซ้อนกัน แสงแดดสามารถส่องถึงใบได้ทุกใบในระหว่างแถวบวบ โดยทั่วไป บวบเป็นพืชที่ทนต่อโรคและแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีนัก หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ในบริเวณแปลงบวบควรอนุรักษ์ผึ้ง เพื่อทำหน้าที่ผสมเกสร ช่วยเพิ่มผลผลิต ควบคุมดูแลจัดผลไม่ให้ค้างหรือตั้งอยู่บนตาข่ายเพื่อให้รูปทรงไม่คดงอ การปลูก 1 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน 50-60 วัน

ปัจจุบัน ครอบครัวบุญทามีรายได้จากการขายบวบงูถึง 324,000 บาท/5 ไร่/5 เดือน เรียกว่า แต่ละเดือนจะมีรายได้เข้ากระเป๋าเฉลี่ย 13,000 บาทต่อไร่ ทีเดียว บุญทา บอกอีกว่า ทุกวันนี้ ผมปลูกบวบงูส่งขายที่ตลาดอุดรเมืองทองแค่แห่งเดียว  ก็ขายดิบขายดี จนผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาดแล้ว

ที่ผ่านมา บวบงู นับเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมสูงในพื้นที่ภาคอีสาน เจียไต๋ ได้สำรวจสายพันธุ์บวบงูพันธุ์พื้นบ้าน พบว่า มีจุดอ่อนเรื่องผลผลิตต่ำ ต้นละ 1-2 กก. ผลมีสีเขียวเข้มลายพร้อยชัดเจน ผู้บริโภคมองเป็นบวบแก่ไม่น่ารับประทาน นำไปวางขายได้เพียง 2 วันก็จะเหี่ยว เจียไต๋จึงวางแผนปรับปรุงสายพันธุ์บวบงูให้มีคุณภาพดีขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ และสร้างอาชีพที่มั่นคงแก่เกษตรกร

นิธิกร อินทวารี ผู้ปรับปรุง “บวบงูสายพันธุ์สเน็กกี้ 004” ของ เจียไต๋ เล่าว่า ปี 2539 เจียไต๋ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์บวบงู มีชื่อการค้าว่า พันธุ์ “สเน็กกี้” ที่มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตต่อต้นดก 5-6 กก. ต้นแข็งแรงแตกแขนงได้มากขึ้น ในแต่ละแขนงบางข้อให้ลูกเป็นคู่ ผิวสีเขียวสดใสดูอ่อนวัย วางตลาดได้นานเป็น 3-5 วัน  หลังเปิดตลาดจนถึงทุกวันนี้ บวบงู พันธุ์ “สเน็กกี้” ของ เจียไต๋ ได้รับความนิยมจากเกษตรกรปลูกบวบงูตลอดระยะเวลา 17 ปี สามารถครองส่วนแบ่งตลาดบวบงูได้ถึง 80% ทีเดียว       

 

กล่าวได้ว่า บวบงูเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์หลากหลายทีเดียว บวบงู จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชผักสวนครัวในบ้าน หากปลูกเชิงการค้า ก็สร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคงเช่นกัน หากใครสนใจเมล็ดพันธุ์บวบงู พันธุ์ “สเน็กกี้ 004” สามารถติดต่อหาซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ของเจียไต๋ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ โทรศัพท์  02-810-3031–7 ต่อ 136 หรือ www.chiataigroup.com