พยาบาลสาวผู้ลาออกมาทำการเกษตร แนะการตลาดยุคใหม่ มีผลผลิตแล้วจะขายใคร ขายที่ไหน

 

คุณการต์รวี บัวบุญ หรือ น้องอ้น อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ที่ 7 ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เดิมมีอาชีพรับราชการเป็นพยาบาล โดยจบการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสระบุรี พยาบาลวิชาชีพ (4 ปี) จากนั้นรับราชการอยู่หลายแห่งเป็นเวลารวม 8 ปี (ศูนย์มะเร็งลพบุรี 2 ปี, โรงพยาบาลวาปีปทุม 3 ปี, โรงพยาบาลมหาสารคามอินเตอร์ 1 ปี, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2 ปี…จบปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาเดียวกันและที่เดียวกัน แต่เธอลาออกจากพยาบาลมาทำเกษตรอย่างจริงจัง

ช่วงที่ลาออกจากพยาบาล แล้วมาทำการเกษตร หลายคน “หาว่าเธอบ้า” เหตุใดจึงทิ้งงานที่มั่นคงขนาดนั้น มาทำการเกษตร

ทว่า เธอก็มีเหตุผลส่วนตัว เนื่องจากคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็ง เธอต้องการกลับมาดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด โดยที่เธอบอกว่า เธอเป็นพยาบาลดูแลคนได้มากมาย แต่คุณแม่ของเธอเอง จะไม่ให้ดูแลได้อย่างไร  นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ฟังแล้วซึ้งมากๆ นั่นก็คือ เธอบอกว่า หากเธอยังทำงานอยู่ แม้ว่าจะประสบความสำเร็จเพียงใด แต่ถ้าไม่มีคุณแม่อยู่ได้ชื่นชมกับความสำเร็จนั้นแล้ว ก็ไม่มีความหมายใดๆ ฉะนั้น ในเวลานี้ คุณแม่เธอสำคัญที่สุด

กลับมาที่เรื่องราวทางการเกษตรของคุณการต์รวี เธอมีพื้นที่ 22 ไร่ ทำนา 10 ไร่ สระน้ำ 4 ไร่ ที่เหลือเป็นที่ดอน การเกษตรส่วนใหญ่ของเธอคือเลี้ยงเป็ด และไก่ หลายสายพันธุ์ ดังนี้

เลี้ยงเป็ดไข่ (พันธุ์กากีแคมป์เบล, ซีพีซุปเปอร์) 500 ตัว ให้ไข่แล้ว 200 ตัว ซื้อวัตถุดิบมาผสมอาหารเอง เช่น กากปาล์มน้ำมัน กากถั่วเหลือง รำ มีการเพาะพันธุ์เป็ดเองโดยใช้เครื่องฟักไข่ช่วย //ไก่ไข่ 50 ตัว แต่เลี้ยงแบบไก่พื้นเมือง ให้อาหาร ได้แก่ รำ หญ้าเนเปียร์ น้ำหมักปลา ทำให้เปอร์เซ็นต์การให้ไข่ดีถึง 95 เปอร์เซ็นต์ //ไก่ประดู่หางดำ 300 ตัว ขายเป็นไก่เนื้อ กิโลกรัมละ 90 บาท และขายพันธุ์อายุ 7 วัน ตัวละ 25 บาท //ไก่พันธุ์พื้นเมือง 100 ตัว ขายกิโลกรัมละ 90 บาท//ไก่ดำ KU ภูพาน ขายลูก อายุ 7 วัน ตัวละ 50 บาท  และไก่เหลืองดงยอ 100 ตัว ขายลูก ตัวละ 20 บาท (ข้อมูลจาก เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์)

นั่นเป็นกิจกรรมหลักๆ ของเธอ

มาถึงคำถามที่สำคัญคือ หลังจากมีผลผลิตแล้ว เธอหาตลาดอย่างไร ง่ายๆ ก็คือ ไปขายใคร ขายที่ไหน

เธอตอบมาดังนี้

“ไม่ว่าเราจะไปส่งเสริมให้ใครทำการเกษตร มักจะมีคำถามกลับมาเสมอคือ จะขายใคร ขายที่ไหน  ก็ตอบไปว่า ตลาดหลักคือสื่อโซเชียล เราก็โพสต์เรื่องราวของเราลงไป  สื่อโซเชียลเป็นอะไรที่กว้างมาก คนก็จะเห็นเรื่องราวของเรา  ทั้งนี้ การทำการเกษตรสมัยใหม่ ได้เปรียบมาก เราไม่ต้องเปิดหน้าร้าน ไม่ต้องแต่งหน้าร้านให้สวยงาม แค่เรานำเสนอเรื่องราวของเราลงไปในสื่อโซเชียล คนก็จะเห็น เช่น กว่าที่เราจะได้ไข่ไก่ คุณภาพออกมา เรามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง  คนก็จะเกิดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ การค้า การขายปัจจุบัน ก็ง่ายมาก ขายกันทางโทรศัพท์ ทางออนไลน์ ส่งของกันทางรถทัวร์ ไปรษณีย์ บริษัทขนส่งเอกชน สะดวกรวดเร็วมาก”

“เราก็คิดจากคำถามนี้ คือทำแล้วจะขายใคร ขายที่ไหน คนอื่นเขาทำการเกษตรมาก่อนเรามากๆ  เราก็ต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ แล้วการส่งเสริมก็จะง่ายมาก  ส่วนเรื่องการให้ชาวบ้านเดินตามมาตรฐานที่เราวางไว้ อันนั้นไม่ต้องห่วง เขาทำตามได้แน่ๆ อีกอย่างที่อยากจะฝากไว้คือ อย่าทำการเกษตรแบบแฟชั่น  เช่น เห็นคนอื่นปลูกมะนาว ปลูกยาง ปลูกอ้อย แล้วได้ราคาดี คนก็แห่ไปปลูกกัน จากนั้นราคาก็ตก  เราต้องสร้างความแตกต่างในสินค้า  ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ และสินค้านั้นต้องมีสตอรี่ แล้วมันก็จะไปได้”  คุณการต์รวี  กล่าวทิ้งท้าย