แนะเทคนิคให้น้ำระบบ “น้ำหยด-ฉีดฝอยใต้ต้น” ช่วยประหยัดน้ำ+ลดต้นทุนในภาคเกษตร

เมืองไทยเป็นแผ่นดินทองของการเพาะปลูกพืช  เพราะดินดี น้ำดี มีโอกาสรับลมฝนตลอดทั้งปี เริ่มจากพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ได้ฝนจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พอถึงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ก็ได้ฝนจากลมมรสุมในช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูร้อน เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ได้น้ำฝนจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้   เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ได้น้ำฝนจากอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้  จนถึงช่วงปลายปี ประมาณเดือนตุลาคม ก็ได้น้ำฝนในช่วงปลายฝนต้นหนาวอีกครั้ง

แม้เมืองไทยจะไม่เคยขาดฝน แต่มีจุดอ่อนในเรื่องการจัดการพื้นที่เพื่อควบคุมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังมีจำนวนจำกัดไม่ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่จึงปลูกพืชโดยพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงสูง แม้จะได้รับน้ำฝนในช่วงต้นฤดูฝนจากอิทธิพลลมมรสุมมหาสมุทรอินเดีย แต่เมืองไทยก็ได้ปริมาณน้ำฝนไม่เต็มที่ เพราะน้ำฝนจะมาเรี่ย ๆ ดิน แถมมีภูเขาขวางกั้นมาเป็นระยะ ๆ เช่น

ภูเขาผานาง เป็นกำแพงกั้นลมฝน ทำให้อำเภอกบินทร์บุรีได้รับน้ำฝนในช่วงต้นฤดูฝนน้อยมาก  ส่วนภาคอีสานมักเจอปัญหาฝนแล้ง เพราะมีภูเขาผานาง เทือกเขาสันกำแพงกับเทือกเขาพนมดงรัก  เป็นกำแพงขวางกั้นลมฝน  ที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรในพื้นที่ภาคอีสานจะมีโอกาสได้รับลมฝนจากทะเลจีนอย่างเต็มที่เฉพาะช่วงเดือนกันยายน แต่ระยะดังกล่าวเสี่ยงเจอฝนตกหนักจนกลายเป็นน้ำท่วมทำให้ยากต่อการนำน้ำฝนมาใช้ในการเกษตร

ระบบฉีดฝอยใต้ต้น

ทุกวันนี้  ระบบการให้น้ำแบบสปริงเกอร์  เป็นเทคโนโลยีการจัดน้ำเพื่อการเกษตร ที่เกษตรกรนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย หากเปรียบเทียบมีประสิทธิภาพแล้ว “ เทคนิคการให้น้ำแบบจุลภาคคือระบบน้ำหยดและฉีดฝอยใต้ต้น กลับช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า เพราะควบคุมจังหวะการให้น้ำได้แถมให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าในด้านปริมาณและคุณภาพ  แต่ต้องใช้เงินลงทุนครั้งแรกสูงและค่าบำรุงรักษาระบบก็สูงตามไปด้วย ในบางท้องที่อาจให้น้ำด้วยแบบต่างๆ ผสมได้หลายแบบ    เพื่อให้การใช้น้ำนั้นมีประสิทธิภาพดีที่สุด

ชำแหละข้อดีของ “ระบบน้ำหยด-ฉีดฝอยใต้ต้น ”

อ้างอิงจากผลการศึกษาวิจัยของ รองศาสตราจารย์ มนตรี ค้ำชู ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชลประทานด้านระบบการให้น้ำแบบต่าง ๆ พบว่า การให้น้ำระบบน้ำหยดและฉีดฝอยใต้ต้น มีข้อดีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น  1. ช่วยเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดีเพราะช่วยรักษาระดับความชื้นในดินอยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะตลอดเวลา ทำให้พืชงอกงามและได้ผลผลิตดีที่สุด ผลการศึกษาพบว่า ระบบนี้ให้ผลผลิตสูงกว่าการให้น้ำแบบอื่นๆ ประมาณ 10-20% โดยเฉพาะในดินทราย ดินที่มีความเค็มหรือคุณภาพของน้ำไม่ดี การให้น้ำแบบหยดจะให้ผลผลิตมากกว่าถึงสองเท่า

น้ำหยดให้น้ำเฉพาะจุด
  1. ช่วยประหยัดน้ำได้มาก เพราะเป็นการให้น้ำแก่รากพืชโดยตรง แถมใช้แรงงานน้อย ทั้งนี้ การให้น้ำแบบจุลภาคจะติดตั้งเป็นการค่อนข้างถาวร พร้อมให้น้ำได้ทุกเมื่อ เพียงเปิดหรือปิดวาล์วเป็นแปลงๆเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคกีดขวางการดำเนินงานด้านอื่นภายในพื้นที่เพาะปลูก เช่น การตัดแต่งกิ่ง การพ่นยาปราบศัตรูพืช ตลอดจนการเก็บผลผลิต การทำงานเหล่านี้สามารถกระทำได้ในขณะทำการให้น้ำ
  2. วิธีนี้เป็นการให้น้ำครั้งละน้อยๆ สามารถควบคุมเวลาการให้น้ำและปริมาณน้ำได้ใกล้เคียงกับความต้องการได้มากกว่าวิธีการให้น้ำแบบอื่นๆ สามารถให้ปุ๋ยพร้อมกับการให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด  ควบคุมวัชพืชได้ดี  เนื่องจากการให้น้ำเป็นจุดเฉพาะบริเวณโคนต้น ทำให้พื้นที่ เปียกน้ำเป็นเพียงส่วนน้อยของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่บริเวณอื่นจึงไม่มีน้ำ ทำให้การเจริญเติบโตของวัชพืชเป็นไปได้ยาก  ทำให้พืชที่ปลูกเจริญเติบโตเต็มที่เพราะได้รับปริมาณน้ำอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึงกัน
    น้ำหยดช่วยประหยัดน้ำ

การติดตั้งระบบน้ำหยด-ฉีดฝอยใต้ต้น

ระบบน้ำ หยดและฉีดฝอยใต้ต้น มีอุปกรณ์สำคัญประกอบด้วย หัวปล่อยน้ำ ท่อแขนง ท่อประธาน เครื่องกรอง เครื่องสูบน้ำ เครื่องควบคุมความดันของน้ำ  อาจจะมีเครื่องผสมปุ๋ยด้วย หากใครสนใจอยากติดตั้งอุปกรณ์ให้น้ำพืชระบบนี้ รองศาสตราจารย์ มนตรี แนะนำว่า ควรเรียนรู้ และเข้าใจอุปกรณ์ต่างๆของระบบให้น้ำแก่พืชแบบจุลภาค ดังนี้

1) หัวปล่อยน้ำ หัวปล่อยน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากของระบบจุลภาค เพราะทำหน้าที่ควบคุมการไหลของปริมาณน้ำจากท่อแขนงไปสู่ดิน   หัวปล่อยน้ำ มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง แล้วแต่ความนิยมของแต่ละประเทศหรือแต่ละบุคคล   โดยทั่วไป หัวปล่อยน้ำ แบ่งได้เป็น 4 รูปแบบ

  1. หัวน้ำหยด ลักษณะน้ำจะไหลเป็นหยดๆ ต่อเนื่องกัน
  2. หัวไมโครสเปรย์ ฉีดเป็นฝอยแต่หัวไม่มีส่วนหมุน
  3. หัวไมโครสปริงเกอร์ ฉีดเป็นฝอยซึ่งหัวมีส่วนหมุน
  4. หัวฉีดน้ำเป็นจังหวะ ๆ เป็นหัวฉีดที่นำเอาหัวน้ำหยดรวมกับไมโครสเปร์ หรือไมโครสปริงเกอร์ น้ำจะออกน้อยเหมือนน้ำหยดแต่ฉีดได้กว้างไกลเหมือนสปริงเกลอร์

2) ท่อแขนง ท่อแขนงทั่วๆไปจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16-20 มม.   ทำด้วยวัสดุได้หลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กัน เป็นวัสดุโพลีอีทีลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE) สีดำเข้มที่ผสมสารป้องกันแสงอาทิตย์ (black carbon) นิยมวางบนผิวดิน

3) ท่อแยกประธาน ท่อนี้จะมีท่อแขนงมาต่อแยกออกด้านหนึ่งหรือสองด้านก็ได้  ส่วนมากจะเป็นวัสดุจำพวกพีอี หรือ พีวีซี  นิยมฝังใต้พื้นดิน

4) ท่อประธาน ท่อประธานเป็นท่อที่เชื่อมโยงท่อแยกประธาน ให้ต่อกับแหล่งน้ำท่อประธานจะทำจากวัสดุต่อไปนี้ พี.อี. และพี.วี.ซี.  ซึ่งจะใช้วัสดุแบบใดก็ตาม ไม่ควรเป็นวัสดุที่เป็นสนิม และลอกเป็นสะเก็ดได้ง่าย  เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการอุดตัน

5) เครื่องกรอง เครื่องกรองเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการให้น้ำแบบจุลภาค  ควรใช้น้ำที่สะอาดจริงๆ   เพื่อป้องกันปัญหาการอุดตัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสียเวลามาก เครื่องกรองที่นิยมใช้ส่วนมากเป็นแบบพื้นผิวคือแบบตะแกรง กับแบบชั้นความลึกได้แก่พวกชั้นทรายกรวด และแบบแผ่นจานเซาะร่อง วางซ้อนกัน ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับลักษณะของตะกอนหรือสิ่งที่ต้องการจะกรองออกจากน้ำก่อนที่จะส่งเข้าสู่ระบบการให้น้ำ

น้ำหยดในแปลงปลูกไม้ดอก

ระบบน้ำหยดสามารถปลูกในดินได้แทบทุกประเภท แม้กระทั่งดินทรายที่ไม่มีสารอาหารเลย เพียงแค่ใส่ปุ๋ยผสมไปพร้อมกับการให้น้ำ หากออกแบบระบบน้ำอย่างถูกต้องเหมาะสม จะทำให้พืชได้รับน้ำสม่ำเสมอเท่ากันทุกต้น ทำให้พืชเจริญสม่ำเสมอเท่ากัน แบ่งพื้นที่การให้น้ำเป็น 4 แปลง แต่ละแปลงมีพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ ให้น้ำแปลงละ 4 ชั่วโมงต่อวัน 1วันทำการให้น้ำถึง 16ชั่วโมง จะเห็นว่าใช้ท่อรองประธาน และท่อประธานขนาดเล็กมากเพียง 50 มิลลิเมตร (2 นิ้ว) สามารถใช้กับพื้นที่ได้ถึง 200 ไร่ ในประเทศอิสราเอล สำหรับเกษตรกรไทยคงใช้ท่อขนาดไม่น้อยกว่า 4 -6 นิ้ว เพราะต้องการให้น้ำให้เสร็จเร็วๆ เช่น2 -3 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้ระบบท่อและเครื่องปั๊มน้ำต้องใหญ่กว่าอย่างน้อย 2-3 เท่า

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์