ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคที่เทรนด์การเกษตรมาแรง เราจะพบเห็นในข่าวว่า เริ่มมีการเกิดของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อยหันมาทำเกษตรกันมากขึ้น และการเกษตรไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด ผสมกับแนวคิดของเด็กรุ่นใหม่ที่หันมาทำเกษตรก็มักมีวิธีการทำที่แปลกแนว เพื่อพัฒนาและต่อยอดในไร่สวนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
ดังเช่น คุณนันทรัฐ ลิ้มประยูร อยู่บ้านเลขที่ 58 หมู่ที่ 4 ถนนเทศบาล 10 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เขาจบจากศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาการเดินเรือ แต่ผันชีวิตทำเกษตร
โดยคุณนันทรัฐ หรือ คุณเติ้ล เล่าให้ฟังว่า พื้นเพที่บ้านทำเกษตรอยู่แล้ว โดยมีคุณพ่อเป็นหลัก คือคุณพ่อจะจบสาขาสัตวบาลมา เลี้ยงโคนมมานานกว่า 30 ปี มีพื้นที่รอบบ้านประมาณ 20 ไร่ คุณพ่อแบ่งไปเลี้ยงวัว 10 ไร่ พื้นที่ที่เหลืออีก 10 กว่าไร่ ใช้ปลูกไม้ผล พืชไร่ ผักสวนครัว ทำสลับกันไป แต่ไม่เชิงว่าจะทำเป็นระบบเหมือนปัจจุบันนี้ คือปลูกแบบขายบ้าง แจกบ้าง เพิ่งจะมาทำเป็นระบบได้สักประมาณ 3-4 ปี มานี้
“เรามองตลาดพืช ตลาดต้นไม้ ว่ามันค่อนข้างไปได้ไกลพอสมควร ก็เลยเริ่มจัดแจงพื้นที่ แบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน เริ่มวางผัง ทำระบบน้ำให้เข้าที่เข้าทางเพื่อที่จะสะดวกในการทำ ดูประสิทธิผลของต้นที่จะให้ผลผลิต จริงๆ แล้วคอนเซ็ปต์ของผมคือไม่ต้องทำเยอะ คือเราทำในอัตราส่วนที่พอเหมาะแล้วเราดูแลถึง ผลผลิตก็จะเต็มร้อย แต่ถ้าในขณะเดียวกันเราทำ 100 ไร่ แต่ดูแลไม่ทั่วถึง แน่นอนว่าเราก็จะไม่ได้ผลผลิตเต็ม 100%” คุณเติ้ล กล่าว
ปัจจัยช่วยตัดสินใจในการเลือกปลูกพืชเพื่อสร้างรายได้
อันดับแรก คุณเติ้ลให้ดูที่แนวโน้มการตลาด ว่าจะสามารถขายได้ทั้งในช่วงที่ราคาแพง และในช่วงที่ราคาถูกได้หรือไม่ ไม่ใช่เหลือกิโลกรัมละ 5-10 บาท มันต้องสามารถเลี้ยงตัวเองและอยู่ได้ พืชบางชนิด ยกตัวอย่าง เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ซึ่งพืชเหล่านี้เป็นพืชที่คู่ครัวไทยมาช้านาน ถ้าขาดไปคงไม่ใช่อาหารไทย ดังนั้น ความต้องการของตลาดก็ต้องสูงตามกัน มันขาดไม่ได้เลย ของจะต้องกินต้องใช้ยังไงก็ต้องปลูก แล้วพืชบางชนิดเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ในขณะนั้นออกมาน้อย ถ้าเราสามารถทำให้ออกนอกฤดูได้ก็ช่วยสร้างรายได้ดี แต่ผลเสียคือเรื่องของสารเคมี เพราะพืชโดยธรรมชาติเขาจะออกตามฤดูกาล ออกนอกฤดูยิ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การใช้สารเคมีก็ต้องใช้มากกว่าปกติ ตรงนี้เราก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าควรทำอย่างไร
แนวคิดของเกษตรกรรุ่นใหม่ เลือกที่จะปลูกกิ่งพันธุ์ ต้องเริ่มอย่างไร
คุณเติ้ล บอกว่า…อย่างแรกเราต้องมีแรงบรรดาลใจ ให้มองว่า เราทำงาน 30 วัน เพื่อที่จะได้รับเงินก้อน หรือที่เรียกว่าเงินเดือน คุณจะทำแค่นั้น ต่อให้มีตำแหน่งใหญ่ๆ แต่ถ้าตราบใดเราไม่ใช่เจ้าของบริษัท เราก็อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นลูกน้องเขาอยู่ดี แต่ถามว่า การมาทำสวน ทำอะไรที่เป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเราเป็นนายตัวเอง เรามีพื้นที่เป็นของตัวเอง เราสามารถเลือกได้ว่า วันนี้เราขยันก็ทำเยอะหน่อย วันไหนรู้สึกไม่ค่อยสบายเราก็หยุดได้ ถามว่าเกษตรยุคใหม่อย่างผม ผมมองที่ความต้องการของตลาดเป็นหลัก พืชตัวนี้ตลาดต้องการ แต่ก็ไม่ได้ปลูกแบบตะบี้ตะบันปลูก เพราะเห็นราคาดี เราก็ต้องปลูกในอัตราส่วนที่เราสามารถดูแลได้ เพื่อที่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและออกมาเต็มร้อย และสำคัญคือต้องคำนึงถึงพืชชนิดที่เราจะปลูกว่า พืชชนิดนั้นดูแลยากง่ายอย่างไร ต้องบำรุงรักษาอย่างไร ใช่ว่าเราปลูกเห็นว่าพืชชนิดนี้ราคาแพง แต่ว่าดูแลยาก ก็ประสบผลสำเร็จยาก ทุกอย่างจะมีอัตราส่วนที่เหมาะสมในตัวอยู่แล้ว
ปลูกทับทิม 1 ไร่ เน้นตอนกิ่งพันธุ์ สร้างรายได้
ที่สวนของคุณเติ้ล ปลูกทับทิมเพื่อตอนขาย ประมาณ 1 ไร่เศษ พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 400 ต้น
เจ้าของบอกว่า ต้นไม้ทุกต้นถ้าลงดินจะโตไว หาอาหารกินเองได้ ตีสักประมาณ 1 ปี สามารถตอนกิ่งแล้วเอามาลงถุงขายได้ ส่วนเรื่องผลลัพธ์ถือว่าคุ้มมาก สมมุติเป็นกิ่งแบบที่เห็น ตุ้มตอนเบ็ดเสร็จเลย ถ้าจ้างประมาณ 3 บาท แล้วจะมีไม้เสียบ เขาเรียกไม้ร้อย ไม้แปดสิบ ตามความยาว มัดหนึ่งประมาณ 40 บาท เฉลี่ยอันหนึ่งประมาณ 40 สตางค์ คือต้นทุนต่อถุง 10 บาท ประเภทว่าจ้างเขามานั่งกรอกแล้วนะ แล้วเราไปขาย 15 บาท เราก็ยังได้กำไร นี่คือ ราคาที่เขามารับถึงที่ แต่ถ้าเราวิ่งไปส่งเองก็ได้ราคา 28-30 บาท จะเห็นว่าอย่างไรก็ได้กำไร แต่ถ้าตัดขายเป็นกิ่งไปเลย แล้วจะไปทำยังไงก็ได้ อยู่ประมาณ 10-15 บาท แล้วแต่ขนาดกิ่ง ถ้าใหญ่ก็เพิ่มราคาได้ แต่ราคาจะไม่เกิน 15 บาท ขายกันง่ายๆ 10 บาท เพราะว่าเราก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะรอด แต่ถ้าเราใส่อย่างที่ตั้งผลิดอกออกใบมาแล้ว 25 บาท ขายไปเลยได้แน่นอน คุณเติ้ล กล่าว
วิธีขยายกิ่งพันธุ์ทับทิม
แรกเริ่มเดิมทีที่สวนของคุณเติ้ลปลูกทับทิมเป็นส่วนใหญ่ คือชักร่องปลูก สมมุติว่าเป็นพื้นที่โล่ง ก็ไถเปิดหน้าดิน พอไถเปิดหน้าดินสักพักให้ไถพรวนอีกรอบ เพื่อเตรียมชักร่อง วัดระยะห่างระหว่างต้น ประมาณ 1 เมตร ระหว่างร่อง 1.5 เมตร ก็คือ 1×1.50 เมตร การปลูกในลักษณะนี้เป็นการปลูกเน้นตอนกิ่งขาย แต่ถ้าปลูกเอาผล ให้เว้นประมาณ 2×2.5 เมตร ระยะห่างอาจจะ 2 เมตร เพื่อจะเน้นเป็นพุ่มใหญ่ๆ เพื่อเอาผล
การดูแล
หลังจากลงต้นเสร็จแล้วก็รดน้ำใส่ปุ๋ย ปุ๋ยที่คุณเติ้ลใช้ส่วนมากจะเป็นปุ๋ยขี้วัว เพราะได้มาจากการที่ครอบครัวเลี้ยงวัวด้วย เป็นการประหยัดต้นทุน และได้ผลดีด้วย แต่ต้องดูความเหมาะสมด้วย เพราะพืชแต่ละชนิดจะชอบปุ๋ยไม่เหมือนกัน อย่าง มะกรูด มะนาว พวกนี้จะชอบปุ๋ยขี้วัว พอใส่ปุ๋ยรดน้ำ ใช้เวลาประมาณปีครึ่ง คือกว่าจะตั้งตัวได้
ระบบน้ำ…ใช้สปริงเกลอร์เป็นหลัก ถ้าใหม่ๆ ก็เปิดสัปดาห์ละ 2-3 วัน รดเช้าเวลาเดียว รดครั้งเดียวรดให้โชก ดูฤดูกาลด้วยว่าถ้าฤดูฝนไม่ต้องไปยุ่งเลย เพราะฝนตก แต่ฤดูร้อนกับฤดูหนาวต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าหนึ่งอากาศชื้น ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศแห้ง ก็สังเกตต้นไม้ทั่วไปจะดูแห้งๆ ไม่มีชีวิตชีวา ในฤดูหนาว ต้องดูแลวันเว้นวัน
การลงทุน
พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 400 ต้น ราคากิ่งละ (ต้น) 10 บาท เป็นเงิน 4,000 บาท และไม่ใช่ว่าตอนซื้อจะได้แค่ 400 ต้น เขาก็มีแถม 10-20 ต้น ค่าปุ๋ย ค่ายา เฉลี่ยต่อไร่แล้วลงทุนประมาณ 15,000-20,000 บาท แต่ถ้าที่บ้านใครเลี้ยงวัวอยู่แล้วก็ได้โอกาส ไม่ต้องซื้อปุ๋ยลดต้นทุนไปอีก ลงทุนไร่ละหมื่นถึงสองหมื่น แต่ได้ผลคุ้มแน่นอน สมมุติตัดรอบแรกได้ 1,000 กิ่ง แต่ไม่ใช่เอามาลงจะรอดทุกกิ่ง แต่มันก็ได้ ถัวเฉลี่ยแล้วขายสองรอบก็คืนทุนแล้ว ขายได้เรื่อยๆ
สมมุตติ 400 ต้น คิดง่ายๆ ได้ต้นที่ตอนกิ่งออกประมาณ 5 กิ่ง ขายได้เกือบ 10 ปี ปลูกเอากิ่งอยู่ได้หลายปี ถ้าปลูกเอาลูกต้นจะโทรมเร็ว หรือจะเว้นตามแนวปลูกไว้กินลูกก็ได้ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ข้อดีของการขายกิ่งพันธุ์
“ข้อดีคือ แน่นอนว่าขายได้ทั้งปีครับ โดยรวมไม่ว่าจะเป็นทับทิม มะนาว มะกรูด มะม่วง ถ้าขายลูกอย่างเช่น มะนาว 1 ปี มะนาวจะออกไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าขายกิ่งตัดกิ่งไปปุ๊บ แน่นอนว่าต้องมีการเจริญเติบโตงอกใหม่ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือน สามารถตัดอีกรอบได้ คือเอาเป็นว่าถ้าเราขายกิ่ง จะขายได้ทั้งปี ถ้าขายลูกจะขายได้แค่เป็นช่วงฤดูกาลสั้นๆ ข้อดีอีกข้อคือ คุณไม่ต้องห่อ ไม่ต้องคอยประคบประหงม ตัดมาลงถุงปักเอาไม้ผูกเชือกอะไรให้เรียบร้อยเราก็รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เพื่อบำรุงต้นให้ฟื้นสภาพ ขายได้เลย” เจ้าของบอก
เดินหาตลาดเอง ไม่ง้อพ่อค้าคนกลาง
การตลาดของคุณเติ้ลจะเป็นกลุ่มร้านขายไม้ผล ครั้งแรกเขาไปตะเวนเหมือนรถหาบเร่ เอาไปเสนอขายเขา มีสินค้าตัวอย่างไปให้เขาดู คือพูดง่ายๆ เราก็ไปสร้างคอนเน็กชั่นไว้ ปรากฏว่า พอไปบ่อยครั้งเข้า ก็ถูกอกถูกใจกัน ก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ติดต่อไว้ ถ้าจะพูดถึงทับทิมก็ต้องเอาเจ้านี้นะ สั่งกับเรานะ ประมาณนี้ ก็ลดหย่อนกันไป เพราะร้านเขาเป็นร้านต้นไม้ใหญ่ บางครั้งไม่มีสินค้าก็ต้องไปเอาที่ร้านนี้ เหมือนระบบอุปถัมภ์ ก็ต้องเกื้อกูลกันไป
“ผมเองไม่มีหน้าร้าน ขายส่งจะดีกว่าขายปลีก เพราะ 1. ไม่ต้องไปดูแลว่าใครจะย่องมาขโมยตอนกลางคืน 2. พอคนมาซื้อต้องมีการต่อราคา 5-10 บาท ยังไงเราก็ต้องลดให้เขา 3. ต้องมาวิตกกังวลว่า วันนี้จะขายได้ไหม ขายได้กี่ต้น แต่ดีตรงที่ว่า ต้นไม้ไม่เหมือนอาหาร ไม่เน่าไม่เสีย อีกอย่างสินค้าล้นตลาด ผมยังไม่เคยเจอ เจอแต่สินค้าไม่พอขาย เพราะสินค้ากระจายออกไปทั่วทุกที่ บางคนไม่ได้ซื้อไปลงสวน ลูกค้าขาจรเห็นเจ้าของร้านเอามาใส่กระถางสวยๆ พอเห็นว่ามันมีลูก เขาก็อยากได้ ก่อนจะออกจากเราไปก็ต้องบำรุงให้ติดลูก ติดดอกนิดหน่อย ของสวยแน่นอนใครก็ต้องอยากซื้อ แถมช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าได้อีกด้วย” คุณเติ้ล บอก
ฝากถึงเกษตรกรมือใหม่
คุณเติ้ล บอกว่า ทำอะไรมีปัญหาหมด ถ้าปลูกต้นไม้ ทำสวน จะเป็นเรื่องของดิน ฟ้า อากาศ โรคของต้นไม้ เพราะฉะนั้นอย่าท้อถอย หมั่นศึกษาหาข้อมูลดีๆ ไม่ใช่ว่าถูกใจแล้วทำโดยปราศจากการศึกษา ทำแบบนี้มักจะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร ที่สำคัญทำอะไรต้องมีใจรัก มีความชอบ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สิ่งที่ทำประสบผลสำเร็จได้ง่ายขึ้น และอีกอย่างต้องมีเวลา เพราะต้นไม้ไม่ใช่ว่าปลูกแล้วจะฝากใครให้ดูแลได้ และถ้ามีทุนด้วยก็จะยิ่งดี
สำหรับเกษตรกรมือใหม่อยากให้ศึกษาแนวคิดดีๆ หรือการปลูกต้นไม้แบบเน้นขายกิ่งพันธุ์ คุณเติ้ล ยินดีให้คำปรึกษา จะเข้ามาหาที่บ้าน หรือปรึกษาทางโทรศัพท์ ยินดีให้ความรู้ โทร. (082) 750-1055