อดีตแอร์โฮตเตส ไม่ห่วงสวย ทิ้งชีวิตบนฟ้า สวมบทเกษตรกรปลูกผักออร์แกนิก สร้างรายได้ ที่วังน้ำเขียว

ชีวิตของมนุษย์ในเมือง มองทางไหนมีแต่ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง รถรา สภาพแวดล้อมของชุมชนเมืองที่หนาแน่นล้วนแต่มีมลพิษทางอากาศ อาหารการกิน และมลพิษทางอารมณ์ที่มีแต่ความเคร่งเครียด มีการแข่งขันกันสูง จิตใจจึงมีแต่ความทุกข์ ความหวังลึกๆ ของคนในเมืองคือมีที่ในชนบทสักแห่งเพื่ออยู่อย่างสงบเมื่อโอกาสมาถึง

ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อมีวันหยุดติดต่อกันหลายวันในช่วงเทศกาล กรุงเทพฯ แทบจะกลายเป็นเมืองร้าง เพราะทุกคนมุ่งหน้าออกต่างจังหวัดกันแทบหมดเมือง ใครชอบทะเลใกล้บ้านก็มุ่งไปบางแสน พัทยา ระยอง จันทบุรี ตราด ไกลหน่อยก็ภูเก็ต พังงา กระบี่ ถ้าชอบน้ำจืดก็กาญจนบุรีซึ่งยังมีป่าให้ท่องเที่ยวได้ ชอบบรรยากาศภูเขาก็ขึ้นเหนือ ไกลไปใช่ไหมครับ ขับรถใกล้ก็มาอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพียงร้อยกว่ากิโล

วังน้ำเขียว มีอากาศบริสุทธิ์ มีโอโซนมากมายเอาไว้สูดหายใจให้เต็มปอด สมกับชื่อ สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน เพราะเป็นพื้นที่เดียวในประเทศไทยที่ถูกโอบล้อมด้วยป่าอนุรักษ์ผืนใหญ่ 2 แห่ง เสมือนไข่แดงจากธรรมชาติอันสวยงาม ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทับลาน และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มรดกโลกกินเนื้อที่ถึงหลายหมื่นไร่อันเป็นรอยต่อของ 4 จังหวัด

มีโอกาสได้ไปเยี่ยม คูลลิฟวิ่งฟาร์มเฮ้าส์ OLLivingFarmhouse ที่อำเภอวังน้ำเขียว เนื่องจากกลุ่มตลาดสีเขียวจากโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ไปตรวจเยี่ยมแปลงผักเกษตรอินทรีย์ อันเนื่องจากคูลลิฟวิ่งฟาร์มเฮ้าส์จะเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดสีเขียวของโรงพยาบาล

คุณจตุพล ปิ่นทอง อาจารย์จุลพร นันทพานิช และ คุณสาริศา ปิ่นทอง

คุณสาริศา ปิ่นทอง เจ้าของคูลลิฟวิ่งฟาร์มเฮ้าส์ จากอดีตแอร์โฮสเตสมีโอกาสได้ทำงานเที่ยวบินที่ไปญี่ปุ่นอยู่เสมอ ได้ซึมซับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนที่รักสิ่งแวดล้อมมาก ต่อมาได้นำเข้าหมอนที่ใช้วัสดุธรรมชาติคือเปลือกข้าวโซบะซึ่งอยู่ในสกุลข้าวสาลีของญี่ปุ่น เปลือกข้าวโซบะนี้จะไม่มีฝุ่น สถานที่พักเพื่อสุขภาพของญี่ปุ่นจะมีหมอนชนิดนี้สำหรับลูกค้าในห้องนอน และได้ทำเครื่องสำอางออร์แกนิกหลายชนิด จากการศึกษาเรื่องนี้จึงมีแนวคิดถึงเรื่องอาหารที่รับประทานเข้าไปซึ่งปกติจะเป็นอาหารที่ผ่านสารเคมีทั้งสิ้น จนกระทั่งในปี 2548 ได้ซื้อที่ดิน 28 ไร่ ที่วังน้ำเขียว ได้เริ่มปลูกต้นไม้ใหญ่เป็นสวนป่าก่อน ต่อมาจึงทำฟาร์มสเตย์และเริ่มรับนักท่องเที่ยวเมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา

 

ออกแบบโดยคำนึงถึงธรรมชาติ

สถานที่พักของคูลลิฟวิ่งฟาร์มเฮ้าส์ เป็นบรรยากาศสบายสบาย มีอากาศหนาวเย็นแทบตลอดทั้งปี กับการออกแบบผนังซ้อน 2 ชั้น เพื่อให้ห้องเย็นสบาย ใช้กระเบื้องดินเผาแทนกระเบื้องเพราะปลอดแร่ใยหิน ใช้หมอนที่นอนจากวัสดุธรรมชาติล้วน เพราะที่นอนใยสังเคราะห์ทั่วไปมักสะสมสารเคมี ซึ่งระเหยออกมาตลอดอายุการใช้งาน เช่น กรดบอริก ซัลเฟอร์ และฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่สะสมตลอด 6-8 ชั่วโมงทุกวัน และตลอด 10 ปีของอายุการใช้งาน สระน้ำ ไม่มีการใช้คลอรีน แต่ใช้ไม้น้ำในการดูดซับทำความสะอาดโดยวิธีธรรมชาติ

พื้นที่ส่วนกลาง สวน ต้นไม้ ฟาร์มผักสลัด มีการปลูกผักออร์แกนิก เป็นชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ที่ใครๆ ต้องการ ทิ้งสังคมก้มหน้ามาสู่สังคมชนบทแบบง่ายๆ ในบรรยากาศฟาร์มสเตย์ซึ่งเป็นบรรยากาศของบ้านพักที่ไม่มีเสาโรมันอย่างสวนอังกฤษให้เราชม ไม่มีที่นอนสังเคราะห์หนาๆ หรูหราให้เราสัมผัส ไม่มีน้ำหอมที่เป็นกลิ่นสังเคราะห์ให้เราดม แต่ให้เราอยู่กลมกลืนไปกับธรรมชาติมากที่สุด

จากการออกแบบและวางแลนด์สเคป โดย อาจารย์จุลพร นันทพานิช นักเดินป่าตัวยง อาจารย์สถาปนิกสาขาการออกแบบพื้นถิ่น จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้นำเอาเอกลักษณ์ของภาคอีสานมาหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติของผืนป่า โดยใช้วัสดุพื้นถิ่น พร้อมแนวคิดลดการใช้สารเคมีและลดภาวะโลกร้อน ในห้องนอน ทั้งวัสดุ อาคาร เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเครื่องนอนจากธรรมชาติในระดับฟรีฟอร์มาลดีไฮด์ ที่ไม่มีโรงแรมใดทำมาก่อน รวมถึงสบู่ แชมพู หรือน้ำยาทำความสะอาดที่ปลอดภัยจากเคมีเพราะใช้ส่วนผสมของมะกรูดเป็นหลัก การออกแบบภายนอกจะไม่มีบรรยากาศเสาโรมัน สวนสไตล์อังกฤษ ไม่มีต้นปาล์มเหมือนโรงแรมหรูทั่วๆ ไป ไม่มีสถาปัตยกรรมแปลกล้ำหน้าที่โดดเด่นกว่าธรรมชาติ มีแต่สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น วางผังต้นไม้อย่างกลมกลืน โดยการปลูกไม้ยืนต้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนและให้ออกดอกสลับกันไปในแต่ละฤดู ให้พวกเราเห็นความสวยงามตามแบบพื้นถิ่น ตามความเป็นจริง ไม่ใช่บ้านในแม็กกาซีน ที่วาดฝันสวยงามให้เราหลงใหล แต่มันอาจไม่เหมาะกับอากาศบ้านเรา

นักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ

พร้อมกันนี้ เราจะได้เรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน ชมโรงเพาะชำขนาดใหญ่ รวมถึงแปลงผักในฟาร์ม ขี่จักรยานรอบๆ นอนเล่นริมบ่อ ชมสวนสมุนไพรและไม้ยืนต้นรอบๆ ไร่ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เรานำมาปลูกตั้งแต่ต้นกล้า เพื่อให้ไม้ยืนต้นนั้นแข็งแรงและโตเร็วกว่า ได้แก่ พะยูง พะยอม สาทร เสลา สะเดา อินทรีย์ กัลปพฤกษ์ แคบ้าน เพกา อินทนิล ไผ่ ยางนา ศรีตรัง มะฮอกกานี ตะเคียนทอง โมกมัน คูน จำปี ประดู่ป่า มะเม่า แช่เท้าในน้ำอุ่นสมุนไพร จิบกาแฟสดได้บรรยากาศตลอดทั้งวัน

 

อาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบเลือกสรร

ผักที่ปลูกในฟาร์มทั้งแปลงไม่ได้ใช้สารเคมีเลยเพราะต้องการให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ถึงแม้ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนขอใบรับรองแต่ทางฟาร์มก็มุ่งมั่นที่จะทำเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่แรก ทำให้เมนูทุกเมนูของที่นี่ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มทั้งผักและสมุนไพรที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีความสดใหม่ตลอดเวลา นอกจากนี้ การปรุงอาหารก็ไม่ใช้ชูรสในการปรุง รวมถึงไม่ใช้เตาไมโครเวฟ ไม่ใช้ไขมันทรานส์ ไม่ใช้ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลฟอกขาว ไม่ใช้สีสังเคราะห์ กลิ่นสังเคราะห์ เนื้อหมู ไก่ ก็เลือกซื้อสินค้าที่เป็นออร์แกนิก ข้าวกล้องอินทรีย์ ขนมปังไม่ขัดขาว เส้นจากแป้งไม่ขัด

อาหารจากธรรมชาติ

 

กิจกรรมดีๆ ในฟาร์ม

เริ่มตั้งแต่เช้าเยี่ยมชมวิธีปลูกผักออร์แกนิก การปลูกผักแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเมล็ด เข้าโรงเพาะชำต้นกล้า ไถดิน ปลูก ใส่ปุ๋ย ดูแลถอนหญ้า รดน้ำ ป้องกันแมลง ตัดผัก วิธีดูแลรักษาหลังเก็บเกี่ยว การจำหน่าย ระบบการจัดการน้ำ การจัดการขยะ การหมักน้ำหมักชีวภาพ การปลูกสมุนไพรรอบร้าน หลากหลายชนิด รวมถึงพืชสวน มะนาวไร้เมล็ด มะกรูด เอาไว้หมัก สวนครัวต่างๆ ไร่งา ตั้งแต่การหว่านเมล็ด ปลูก และเก็บเกี่ยว มาเพื่อกลั่นด้วยเครื่องเหวี่ยง เพื่อให้ได้น้ำมันงามาทำ เครื่องสำอาง

ปลูกแบบธรรมชาติ

หลังจากนั้น เยี่ยมชมสถาปัตยกรรม ห้องที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ตลอดจนทัศนียภาพของป่าปลูก ที่มีทั้งไม้ยืนต้น ไม้พื้นถิ่น หรือแม้แต่พืชสวน พืชไร่ ข้าวโพด หรืองา (แล้วแต่ฤดูกาล) พักเบรกดื่มชาใบมิ้นต์สดๆ และของว่างสลัดม้วน ซึ่งจะร่วมกันทำกิจกรรมห่อผักสลัดม้วน รับประทานพร้อมน้ำสลัดรสเลิศที่ไม่ใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจน แต่ใช้น้ำมันกลั่นเย็น และอุ่นสบายด้วยการแช่เท้าในน้ำสมุนไพรจากในฟาร์ม

สวยงาม

ร่วมรับประทานอาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์ โดยเมนูสลัดสุขภาพจากผักในฟาร์มและเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยจากสารเคมี รวมถึงเครื่องปรุงที่เน้นการหมักธรรมชาติ ไม่มีสารกันบูด พร้อมเมนูผักมากมาย ที่จะทำให้เด็กๆ ในครอบครัวรับประทานผักกันมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกซื้อผักสด กาแฟสด และเลือกซื้อสินค้ากรีนๆ ในราคาพิเศษ เช่น เครื่องสำอางจากน้ำมันงา เครื่องนอนจากวัสดุธรรมชาติ ผ้าห่ม ที่นอน หมอน

พืชผักที่ปลูกในฟาร์มจะเป็นสลัด ประมาณ 10 ชนิด

  1. 1. ผักกาดแก้วIceberg Lettuce เนื้อใบหนากรอบกว่าพันธุ์อื่นๆ รสหวาน รับประทานง่าย มีวิตามินและธาตุเหล็กสูง ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยบำรุงธาตุ
  2. 2. คอสใหญ่ Cos ใบเขียวยาวสีเขียวเข้ม เนื้อกรอบ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคโลหิตจางหรือตั้งครรภ์
  3. 3. กรีนโอ๊ก Green Oak คล้ายผักกาดหอม รับประทานง่ายไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีรสขม ช่วยสร้างเม็ดเลือด บำรุงสายตา
  4. 4. เรดโอ๊ก Red Oakใบหยักนิ่ม รสไม่ขม มีกากใยสูง ช่วยล้างผนังลำไส้ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  5. 5. บัตเตอร์เฮด Butter Head ขอบใบโค้งมนสีเขียว รสหวานกรอบ ไม่ขม ช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงสายตาและระบบประสาท
  6. 6. คอสแดง Red Cos คล้ายคอสใหญ่ แต่สีแดง มีกากใยสูง ช่วยระบบย่อยอาหาร ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  7. 7. มินิคอสแดง Mini Red Cos คล้ายคอสใหญ่ แต่สีแดง และมีขนาดเล็กกว่า มีกากใยอาหารสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  8. 8. ฟิลเลย์ Fillice ใบหยิกคล้ายผักกาดหอม เนื้อใบกรอบ มีกากใยอาหารสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  9. 9. เรดโครัล เรดราปิด Red Coralคล้ายผักกาดหอม แต่มีสีแดงขอบใบหยิกสวย เนื้อใบกรอบ มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยเรื่องสายตา
  10. 10. กรีนโบว์ Green Bow คล้ายกรีนโอ๊ก สามารถใช้แทนกรีนโอ๊กได้ รับประทานง่าย ช่วยสร้างเม็ดเลือด บำรุงสายตา