กำลังมาแรง “ไส้เดือนลายเสือ” ทางเลือกใหม่วงการเกษตรอินทรีย์ ขายกิโลละ 3 พัน

“ไส้เดือน” ตัวช่วยในการพรวนดินตามธรรมชาติที่เครื่องกลทางการเกษตรไม่สามารถทำได้

แต่ใช่ว่าทุกตัวจะมีคุณภาพดีเหมือนกันหมด เพราะ ไส้เดือน นั้นมีสายพันธุ์แยกย่อยออกไปอีกไม่ใช่น้อย

หากสำหรับ “ไส้เดือนลายเสือ” ว่ากันว่า เวลานี้กำลังมาแรงแซงทางโค้งไส้เดือนทุกสายพันธุ์ ทั้งยังจะเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ เพราะสามารถช่วยกำจัดเศษผัก ผลไม้ ที่เหลือทิ้งได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

คุณชารีย์ บุญญวินิจ เกษตรกรหนุ่ม เจ้าของฉายา “ลุงรีย์” วัย 28 ปี เจ้าของฟาร์มไส้เดือนลุงรีย์ ( Uncle Ree Organic Farm) ให้ข้อมูลเรื่องนี้กับ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์”ว่า แต่เดิมในประเทศไทย ได้นำเข้าไส้เดือนสายพันธุ์ AF (เอเอฟ) มาใช้ในแวดวงการเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากมีคุณสมบัติสามารถจำกัดขยะได้ดี เป็นไส้เดือนตัวใหญ่ เหมาะกับการใช้ผลิตปุ๋ยเพื่องานภาคเกษตรกรรม จนกลายเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย

เมื่อ 3 ปีผ่านมา ตนจึงเริ่มมีการนำไส้เดือนเอเอฟ มาใช้ในการบำบัดสิ่งปฏิกูลในบ่อกุ้ง ปรับค่าน้ำ ปรับหน้าดิน ช่วยลดการใช้สารเคมี เพิ่มแคลเซียมให้กุ้งไม่ต้องไปเสียเงินสองต่อ ขณะเดียวกันฟาร์มหลายแห่ง เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนกันเป็นจำนวนมาก

จากนั้นไม่นาน ตนเลยริเริ่มเปิดกลุ่มอบรมในชื่อ “สมาคมชมเดือน” รวบรวมเครือข่าย ได้มากกว่า 2,000 คน เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้จากคนหลากอาชีพที่สนใจในเรื่องเกษตรอินทรีย์เหมือนกัน ทำให้ทุกวันนี้ มีกำลังการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 200 – 300 ตัน ต่อปี

เกษตรกรรุ่นใหม่ เจ้าของฉายาลุงรีย์ กว่าต่อว่า ปัจจุบันดำเนินธุรกิจฟาร์มไส้เดือนฯ มาได้กว่า 4 ปีแล้ว ล่าสุดเปิดจำหน่าย “ไส้เดือนลายเสือ” หรือ Tiger worms มีทั้งไข่ พ่อพันธุ์แม่พันธ์ และ ชุดลี้ยง ซึ่งจุดเริ่ม ช่วงแรกนั้นเพียงแค่เลี้ยงไว้เพื่อศึกษา จนทราบว่าไส้เดือนลายเสือนี้ ทาง รศ.ดร.สมชัย จันทร์สว่าง จากภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้นำเข้ามาในประเทศไทย โดยมีการแปลงสายพันธุ์ถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

โดยไส้เดือนลายเสือนี้ เป็นไส้เดือนเขตหนาว สามารถทนต่ออุณหภูมิความเย็นและร้อนได้ ส่วนใหญ่เป็นที่ต้องการของตลาดในภาคเหนือและอีสาน อีกทั้งไม่ค่อยมีความเสี่ยงทางธุรกิจ ทำให้เกษตรกรเริ่มกันมาสนใจเพิ่มมากขึ้น

สำหรับข้อดีของไส้เดือนลายเสือ มีหลายข้อด้วยกัน คือ สามารถทนสภาพอากาศหนาวจัดได้ดี ไม่ค่อยหนี เป็นทางเลือกแก่นักเลี้ยงไส้เดือนจังหวัดที่มีอากาศหนาว , สามารถอยู่ในพื้นที่แฉะและชื้นได้ดีกว่าพันธุ์เอเอฟ ย่อยผักผลไม้ดี เป็นสายกำจัดขยะชั้นดี เพราะทนสภาวะเป็นกรดของผักได้มากกว่า , สีของไข่สังเกตง่าย และตกไข่มาก ,ขนาดพอดีคำตัว เล็กแต่โปรตีนสูง จึงเป็นที่ชื่นชอบของวงการเลี้ยงสัตว์น้ำ และ มีหางลายเสือ สังเกตได้ง่าย มีลักษณะโดดเด่น ง่ายต่อการคัดแยก หรือการเลี้ยงปนกันได้

ส่วนความแตกต่างจากไส้เดือนสายพันธุ์เอเอฟนั้น ลุงรีย์ บอก เนื่องจากมูลของไส้เดือนลายเสือไม่ได้สวยฟูเท่าไส้เดือนเอเอฟ แต่มูลมีความละเอียดกว่าระดับหนึ่ง แปลว่า อัตราการย่อยสลายย่อยได้หมดจดกว่า ตั้งข้อสันนิษฐานว่า กลุ่มจุลินทรีย์ที่ต่างชนิดกันที่คลายออกมาทางเมือกบวกกับจังหวะปฎิกิริยาขณะที่ผสมพันธุ์ ส่งผลให้เกิดเมือกมาก กระทั่งเกิดแบคทีเรียดีมาเพิ่มการย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์

“ไส้เดือนลายเสือ เหมาะกับหลากหลายกลุ่ม อาทิ ธุรกิจปลาสวยงาม นักเลี้ยงกุ้ง นักปรับสภาพดิน เกษตรกรรมนาข้าว หรือแม้แต่แม่บ้านที่มักเสียดายของในตู้เย็น ก็สามารถเลี้ยงไส้เดือนลายเสือนี้ ไว้เพื่อย่อยเศษขยะเหล่านั้นได้ ถือว่าตอบโจทย์ได้แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของคนนำไปใช้” ลุงรีย์ บอกอย่างนั้น

และว่า ฟาร์มไส้เดือนลุงรีย์ ของเขา มีไส้เดือนลายเสือ จำหน่ายตั้งแต่เป็นไข่ไส้เดือนและพ่อแม่พันธุ์ ที่มีน้ำหนักตัวละประมาณ 1 กรัม 500 กรัม จึงมีประมาณ 400-500 ตัว ราคาขาย 1,500 บาท หรือ กิโลกรัมละ 3,000 บาท แถมมูลวัวหนึ่งกระสอบ เป็นราคารับหน้าฟาร์ม บริการจัดส่งทั่วประเทศโดยรถโดยสารบขส. ค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 300 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง

นอกจากนี้ยังมีชุด “Kit ไทเกอร์” เป็นไส้เดือนลายเสือครึ่งกิโลกรัม พร้อมอาหาร และภาชนะพร้อมเลี้ยง ถ้าหากเดินทางมารับหน้าฟาร์ม ขายให้ในราคา 1,600 บาท ส่วนค่าจัดส่งทั่วประเทศเริ่มต้นที่ 400 บาทขึ้นอยู่กับระยะทาง สามารถจัดส่งได้ทั่วประเทศไทย เพราะมีการบรรจุอย่างปลอดภัย มีผ้าหุ้มป้องกันอย่างดี

“ขณะนี้ได้เปิดจำหน่ายกระจายสายพันธุ์ไส้เดือนลายเสือไปบ้างแล้ว หลังจากเพาะพันธุ์อยู่ถึง 2 ปี เพราะต้องการให้เพียงพอแก่ผู้สนใจเพาะพันธุ์ โดยมีเงื่อนไข 1 คน ซื้อได้ไม่เกิน 3 กิโลกรัม เนื่องจากต้องการกระจายให้นักเลี้ยงหน้าใหม่และมืออาชีพที่สนใจ นำไปเพาะพันธุ์เพื่อศึกษาและขยายตลาดต่อไป”ลุงรีย์ เผยความตั้งใจ และว่า รายได้ส่วนหนึ่งจากการขายครั้งนี้ จะนำไปบริจาคเสื้อกันหนาวแก่ กลุ่มผู้เลี้ยงไส้เดือนภาคเหนือคนยากจนและพิการ

เมื่อถามตรงๆอาชีพเลี้ยงไส้เดือนสามารถทำเงินได้มากน้อยแค่ไหน ลุงรีย์ ตอบอย่างมั่นใจ

“ตอนนี้กำลังวางแผนเตรียมส่งออกไส้เดือนลายเสือไปขายที่ญี่ปุ่นกับสปป.ลาว ที่ผ่านมายังไม่รู้จักใครที่เลี้ยงไส้เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ประเทศไทยใช้สารเคมีทำการเกษตรกันเยอะ ทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่หรือลูกหลานคนมีกำลังเริ่มหันมาทำการเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างแหล่งอาหารเพื่อความยั่งยืน ส่วนวัยรุ่นที่หัวไว จะใช้การบริหารจัดการควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรม ถ้าได้คนกลุ่มนี้เข้ามาเป็นกำลังเสริมเชื่อว่าน่าจะนำพาประเทศไทยให้แข็งแรงยิ่งขึ้น”

สำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่วัย 28 ปี ฉายา “ลุงรีย์” ผู้นี้ จบปริญญาตรีจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มต้นชีวิตวัยทำงานมาตั้งแต่อายุ 21 ปี โดยเขาเล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม อยากมีส่วนร่วมกำจัดขยะที่นับวันจะมากขึ้น โดยนำความรู้จากงานดีไซน์มาผสมผสานกับงานเกษตร ใช้พนักงานไส้เดือนเป็นคู่หูช่วยในการกำจัดขยะ

ก่อนจะเปิดเป็น “ฟาร์มไส้เดือนลุงรีย์” (Uncle Ree Organic Farm) ซึ่งช่วงแรกไม่คิดทำเชิงธุรกิจแค่อยากทำเป็นงานอดิเรก ทำเพื่อสังคม เพราะต้นทุนที่ได้นั้น มาจากสิ่งที่คนไม่เห็นค่า อย่างเศษผัก ผลไม้ และเขาเชื่อว่า การสร้างขยะ เป็นเรื่องของทุกคน จึงอยากให้คนหันมาเลี้ยงไส้เดือนเพื่อกำจัดขยะอินทรีย์ในครัวเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

สนใจต้องการได้ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ลุงรีย์ เลขที่ 19/29 เพชรเกษม 46 แยก 11 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเพทฯ 10160 โทรศัพท์ 061-414-5242 Facebook / uncleree.farm เว็บไซต์ www.unclereefarm.wordpress.com / ID Line : uncleree / / Email : [email protected]