ที่มา | เทคโนโลยีการเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | อมรศรี ตุ้ยระพิงค์ |
เผยแพร่ |
“ปุ๋ยปลาร้า” (น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล) ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต รักษาสิ่งแวดล้อม
ทุกวันนี้ ภาคเกษตรต้องเผชิญปัญหาดินเสื่อม โรคแมลงศัตรูพืชและปัญหาภัยธรรมชาติ ทำให้ได้ผลผลิตต่ำสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หากใครกำลังมองหาแนวทางลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ก็แนะนำให้ทดลองใช้ “ปุ๋ยปลาร้า” (น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ
ย้อนกลับเมื่อปี 2550-2551 กรมส่งเสริมการเกษตร โดยคุณสุพจน์ แสงประทุม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในสมัยนั้น เกิดแนวคิดที่จะช่วยเกษตรกร “ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม” จึงได้มอบหมายให้ นักวิชาการเกษตร ชื่อ คุณวิชัย ซ้อนมณี ศึกษาทดลองการใช้น้ำหมักชีวภาพชนิดต่างๆ มาใช้ในแปลงเพาะปลูกพืช ก็ได้ผลสรุปว่า น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลหรือที่เรียกกันทั่วไปคือ ปุ๋ยปลาร้า มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม ได้อย่างดี
เมื่อนำปุ๋ยปลาร้าไปให้เกษตรกรทดลองปุ๋ยปลาร้าก็พบว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในแปลงปลูกพืช เพราะสามารถเพิ่มจำนวนปริมาณของผลผลิตมากขึ้น ช่วยปรับสภาพดินให้ดีขึ้น เป็นทั้งปุ๋ยและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป เกษตรกรมีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ช่วยลดต้นทุนการผลิตลดลงเมื่อเทียบการปลูกโดยใช้สารเคมี ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ผลการทดสอบปุ๋ยปลาร้ากับพืช
ทั้งนี้ นักวิจัยได้ค้นพบว่า น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลหรือปุ๋ยปลาร้าที่หมักจากปลาทะเลนานกว่า 8 เดือนขึ้นไป มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทดลองกับพืชชนิดต่างๆ แล้ว ปรากฏผลดังนี้
อ้อย
ได้ทดลองใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 2 ครั้ง ต่อ 1 ปี ในอัตราส่วนน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลิตร ในพื้นที่ไร่อ้อย 1 ไร่ ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำแล้ว 200 ลิตร มี 2 วิธี ดังนี้
วิธีการที่ 1
– ตั้งแต่เริ่มวางท่อนพันธุ์อ้อยจนท่อนพันธุ์อ้อยได้ 1 ศอก ประมาณ 3 เดือน กำหนดการฉีด 1 ครั้ง ในอัตราส่วน น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 1 ลิตร ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดที่โคนและใบ
– หลังจากนั้นพอเข้าเดือนที่ 5 ฉีดอีกครั้ง โดยใช้อัตรา 1 ต่อ 100 เหมือนเดิม
ตอนนี้ฉีดโคนอย่างเดียว และไม่ต้องฉีดแล้วจนกระทั่งเก็บเกี่ยว จนอายุครบ 1 ปี หรือ 12 เดือน
วิธีการที่ 2
– แบบปล่อยน้ำไหลเอื่อยๆ ไปทั่วแปลงอ้อย โดยใช้อัตราส่วนและระยะเวลาเท่ากัน คือปล่อยน้ำช่วงเดือนที่ 3 และเดือนที่ 5
ผลที่ได้รับ
- ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุยมากขึ้น
- ป้องกันการระบาดของหนอนกินราก หรือหนอนกอไม่ให้มารบกวน
- ปริมาณน้ำหมักของอ้อยได้ปริมาณน้ำหนักมากขึ้นเท่าตัว
- เป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดินและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป
- ปลอดภัยต่อร่างกายและรักษาสิ่งแวดล้อม
นาข้าว
ในช่วงเตรียมดินใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นทั่วแปลงนา ปรับสภาพดิน หลังจากนั้นใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล ในอัตราส่วน 30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 4 ครั้ง ดังนี้
การแช่เมล็ดพันธุ์
- แช่เมล็ดพันธุ์ข้าว 1 วัน โดยผสมน้ำหมักชีวภาพกับน้ำในอัตรา 1 : 200 (หรือน้ำหมักชีวภาพ 100 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร)
- แช่เมล็ดพันธุ์ 1 วัน ยกขึ้นจากน้ำ ผสมกับน้ำหมักชีวภาพกับน้ำในอัตรา 100 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้ฝักบัวรดเมล็ดพันธุ์ที่แช่น้ำแล้ว
การผลิตน้ำหมักชีวภาพจากตอซังข้าว
เมื่อเก็บเกี่ยวข้าว ไม่ควรเผาตอซังเพื่อใช้ประโยชน์จากตอซังให้เป็นปุ๋ย ด้วยการปล่อยตอซังทิ้งไว้ในนา เมื่อสูบน้ำเข้านาให้วางขวด หรือแกลลอนน้ำหมักชีวภาพไว้ที่เครื่องสูบน้ำ โดยคลายเกลียวฝาตั้งเอียง เพื่อให้น้ำหมักหยดไปตามน้ำที่สูบเข้านา โดยมีระยะการหยดพอสมควร จนเสร็จสิ้นการสูบน้ำ ผลที่ได้หลังจากนั้นประมาณ 7-10 วัน ตอซังจะย่อยสลายเป็นปุ๋ยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังทำให้ไข่แมลง ไข่เพลี้ย ฝ่อตายได้ด้วย
ระยะเวลาการฉีด
ครั้งที่ 1 : เมื่อข้าวอายุ 15 วัน
ครั้งที่ 2 : เมื่อข้าวอายุ 35 วัน
ครั้งที่ 3 : เมื่อข้าวอายุ 55 วัน
ครั้งที่ 4 : เมื่อข้าวอายุ 75 วัน
การใส่ปุ๋ย
อัตราการใช้น้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพ 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร
กรณีที่มีการระบาดอย่างรุนแรงของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ให้ใช้สุราขาว 2 ขวด กับหัวน้ำส้มสายชู 1 ขวด และยาฉุน 1 ห่อ ผสมให้เข้ากันก่อน แล้วจึงมาผสมน้ำหมักจากปลาทะเลในอัตราส่วน น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 500 ซีซี กับส่วนผสมของสุราและน้ำส้มสายชู 100 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในนาข้าว
ผลที่ได้รับ
- ต้นข้าวแข็งแรง ใบตั้งชัน ออกรวงเต็มเมล็ด
- ป้องกันการโค่นล้มของต้นข้าว
- ป้องกันการระบาดของหนอนกอ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยไฟ หนอนห่อใบข้าวและโรคที่เกิดจากเชื้อรา
- เป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดินและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กัน
- ช่วยเพิ่มผลผลิตมากขึ้นและลดต้นทุน
- ปลอดภัยต่อชีวิตร่างกายของเกษตรกรและรักษาสิ่งแวดล้อม
- ความชื้นของเมล็ดข้าวได้มาตรฐาน
- แมลงศัตรูพืชไม่มารบกวน
- ช่วยปรับสภาพดินให้ดินมีธาตุอาหาร N P K ที่พืชต้องการ ซึ่งจะทำให้ต้นข้าวสมบูรณ์ แข็งแรง เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
การเพาะเห็ดหูหนู
การใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลกับการเพาะเห็ดหูหนูนั้น ใช้เมื่อเอาเชื้อเห็ดเข้าโรงเห็ด เมื่อเห็ดออกปลิง ให้เริ่มฉีดน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 200 ซีซี ต่อน้ำ 100 ลิตร (200 ซีซี หรือเท่ากับ 1 กระป๋องน้ำอัดลม) โดยฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ฉีดไปตลอดจนกว่าจะเก็บหมด ฉีดช่วงเย็นประมาณ 5-6 โมงเย็น แล้วฉีดน้ำตาม 1 ครั้ง และรดน้ำตามวันละ 3-4 ครั้ง จนกว่าจะเก็บดอกเห็ดหมด (ทำซ้ำเหมือนเดิมจนหมดเชื้อ ปกติจะเก็บทุกๆ 5 วัน)
ข้อควรระวัง
การเพาะเห็ดหูหนูอาจเกิดเชื้อราจากขี้เลื่อยไม่ดี จะทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งมักเกิดจากตัวเชื้อทีแรกในก้อนเห็ดได้
ผลที่ได้รับ
- น้ำหนักของเห็ดจะได้มากกว่าปกติเท่าหนึ่ง
- ดอกจะหนามากและสีของดอกจะสวย
- เป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดอกเห็ดและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป
- ปลอดภัยต่อร่างกายและรักษาสิ่งแวดล้อม
ถั่วฝักยาว
ใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลสำหรับต้นอ่อนถั่วฝักยาว (ต้นกล้า) โดยใช้น้ำหมักชีวภาพครึ่งลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ในช่วง 15 วันแรก หลังจาก 15 วัน นับไปถึง 20 วัน ใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเล 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ให้ฉีดน้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร จนกว่าจะเก็บถั่วฝักยาวจนหมด ระยะเวลาจากวันแรกจนเก็บถั่วฝักยาวประมาณ 45 วัน
ผลที่ได้รับ
- สามารถเก็บได้ในปริมาณที่มากกว่าเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมี
- ป้องกันไม่ให้หนอนเจาะฝักถั่วและแมลงศัตรูพืชมารบกวน
- ต้นถั่วฝักยาวที่ตายแล้ว สามารถฟื้นกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
- เป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดินและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป
- ปลอดภัยต่อร่างกายและรักษาสิ่งแวดล้อม
แตงกวา
ใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลสำหรับแตงกวาในช่วงแรกของต้นกล้านั้น ช่วง 15 วันแรก จะใช้อัตราส่วนน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลครึ่งลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร และอีก 20 วันนั้นค่อยเปลี่ยน โดยใช้อัตราส่วนน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลในอัตราส่วน 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร จนกว่าจะเก็บแตงกวาได้หมด
ผลที่ได้รับ
- สามารถเก็บได้ในปริมาณที่มากกว่าเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบกับใช้ปุ๋ยเคมี
- ป้องกันไม่ให้หนอนและแมลงมารบกวน
- ต้นแตงกวาที่ตายแล้ว สามารถฟื้นกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
- เป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดินและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป
- ปลอดภัยต่อร่างกายและรักษาสิ่งแวดล้อม
หน่อไม้ฝรั่ง
ใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลกับหน่อไม้ฝรั่ง เริ่มโดยการใช้ปุ๋ยน้ำในอัตราส่วน 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ใช้รดที่ต้นหน่อไม้ฝรั่งสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาตอนเย็น
ข้อมูลจากเกษตรกรที่ร่วมทดลองพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการใช้สารเคมีในช่วงพักต้นจะเก็บได้ 1,000 กว่าบาท จำนวน 3 ไร่กว่า เมื่อเปลี่ยนมาใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลจะเก็บได้ 2,000 กว่าบาท และเมื่อใช้เคมีตอนปลูกใหม่ เมื่อใช้สารเคมีเก็บได้ประมาณ 50-100 บาท หลังจากใช้น้ำหมักชีวภาพเก็บได้ 500 กว่าบาท จำนวน 3 ไร่กว่า
ผลที่ได้รับ
- รายได้เพิ่มจากปกติ ถ้าใช้สารเคมีจะได้ 1 เดือน เท่ากับ 60,000 กว่าบาท เมื่อเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยน้ำแล้ว รายได้อยู่ที่ประมาณ 100,000 กว่าบาท
- ต้นทุนลดลงหลายเท่าตัว เมื่อใช้สารเคมีจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ 10,000 กว่าบาท เมื่อเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลเหลือเพียงประมาณ 1,000 กว่าบาท เท่านั้น
- ทำให้ไม่มีแมลงมารบกวน
- เพิ่มจำนวนปริมาณของหน่อไม้ฝรั่งมากขึ้น
- ช่วยปรับสภาพดินให้ดีขึ้น ซึ่งมีสภาพร่วนซุย สำหรับพื้นที่โดยเฉลี่ย 3 ไร่ จะใช้ปุ๋ยน้ำ 2 ลิตรครึ่ง แล้วผสมน้ำ 500 ลิตร
นอกจากนี้นักวิจัยยังได้ทดลองใช้ปุ๋ยปลาร้ากับ มันสำปะหลัง ไผ่กิมซุ่ง พุทรา พริก มะเขือเปราะ หญ้าเลี้ยงสัตว์ ฝรั่ง ชวนชม ฯลฯ ปรากฏว่า ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน จึงมั่นใจว่าน้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลหรือปุ๋ยปลาร้านี้สามารถใช้ได้ผลดีกับพืชทุกชนิดเพราะมีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยบำรุงดินและยาควบคุมศัตรูพืชควบคู่กันไป ทั้งยังปลอดภัยต่อร่างกายและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มผลผลิตแก่พืชทุกชนิดนั้น
เนื่องจาก ปุ๋ยปลาร้า เป็นการหมักปลาทะเลยาวนาน 8-10 เดือน ทำให้มีธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และฮอร์โมนที่พืชต้องการครบถ้วน ซึ่งผลการตรวจสอบคุณภาพธาตุอาหารพบดังนี้ สำหรับปริมาณสารอาหารที่พบในจุลินทรีย์น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลหรือปุ๋ยปลาร้า ได้แก่ Aspratic acid 0.779%, Methionine 0.005%, Threonin 0.093%, Isoleucine 0.059%, Serine 0.145%, Phenylalanine 0.102%, Glutamic acid 8.014%, Lysine 0.39%, Proline 0.099%, Arginine 0.021%, Glycine 0.066%, Histidine 0.007%, Alanine 2.324%, Tyrosine 0.026%, Cystine 0.036%, TN 5.066%, Valine 0.241%, AN/TN 57.37%, pH 5.55%, P2O2 0.423%, K2O 0.894%, CaO3 3.420%, Bo 2.0%, MgO 0.517%, SO4 0.209%, Organic Matter 39.47%, Crude Protein 35.0% เป็นต้น
ดังนั้นหากเกษตรกรรายใด สนใจอยากลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม ได้อย่างยั่งยืน ขอแนะนำให้ลองใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาทะเลหรือปุ๋ยปลาร้าดูบ้าง หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โทรศัพท์ (032) 201-568
วิธีการทำปุ๋ยปลาหมักสูตร วท.
ปุ๋ยปลาหมักเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากปลา ได้แก่ หัวปลา ก้างปลา หางปลา พุงปลา และเลือด ผ่านขบวนการหมักโดยการย่อยสลายโดยการใช้เอนไซม์ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หลังจากหมักจนได้ที่แล้ว จะได้สารละลายสีน้ำตาลเข้ม ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน และธาตุอาหารเสริมได้แก่ เหล็ก ทองแดง และแมงกานีส
นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยสลายของโปรตีนในตัวปลา ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการบ่งชี้ชัดว่ากรดอะมิโนสามารถจับตัวกับธาตุอาหารปุ๋ยทำให้ ปุ๋ยสามารถดูดซึมเข้าสู่ต้นพืชได้เร็วขึ้น ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของเกษตรกรที่พบว่าปุ๋ยปลาหมักช่วยพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้มีสีสดขึ้น ผลไม้มีคุณภาพดี และช่วยเร่งการแตกยอดและดอกใหม่ ตลอดจนการเพิ่มผลผลิตของพืช