ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เลือกตั้งแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม!?! 2562 “มนุษย์เงินเดือน” ทำมาหากินอะไรดี
……….
เดินทางไปไหนก็มีแต่คนถามว่า…เลือกตั้งแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม?
ซึ่งผมก็ให้คำตอบแบบชัดๆ ไม่ได้ว่าจะดีขึ้นหรือไม่ เพราะไม่ทราบจริงๆ แต่กระนั้น ผมก็นำคำถามเดียวกันนี้ไปถามนักธุรกิจบางคนที่พอจะรู้จัก
หรือสนิทสนมกันบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า…ไม่น่าจะดีขึ้นมาก เพราะขนาดยังไม่เลือกตั้ง ยังซัดกันขนาดนี้ และระหว่างช่วงหาเสียงเลือกตั้งล่ะจะซัดกันขนาดไหน ไม่นับถึงตอนระหว่างจัดตั้งรัฐบาล อีกว่าคงจะมีอะไรชุลมุนอีกเยอะ
นักธุรกิจคนนั้นย้ำหนักแน่นกับผมว่า…เห็นทีคงจะวุ่นต่อไม่เลิก
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีเราต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง ใครพอจะมีเงินสดอยู่ ก็ต้องบริหารจัดการให้เป็น อย่าไปลงทุนอะไรเยอะ
ค่อยๆ ดูค่อยๆ คิด และค่อยๆ วางแผนว่ารัฐบาลใหม่เขาจะนำพาประเทศชาติไปทางไหน ซึ่งผมฟังแล้วเห็นด้วยทุกประการ
เพราะอย่างที่ทุกคนทราบดี ตอนนี้ปัญหาเรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ไปไหนก็มีแต่คนขาย แต่แทบหาคนซื้อไม่ได้เลย และคนที่ขายของอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในออฟไลน์และออนไลน์ ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า…ขายยากมาก จนพวกเขาคิดไม่ออกว่าจะไปทำอะไรกินดี
แม้รัฐบาลจะพยายามส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัพ แต่เอาเข้าจริงต้องยอมรับว่าการทำธุรกิจสตาร์ตอัพไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งหากสตาร์ตอัพรายนั้นๆ ไม่มีเงินลงทุนมากพอ เพราะต้องเสนอแผนธุรกิจในการกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่ล้วนสนับสนุนธุรกิจกลุ่มนี้ แต่เขาต้องมาดูความเป็นจริงอีกทีว่าธุรกิจสตาร์ตอัพกลุ่มนั้นๆ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ในอนาคต เขาเองก็ไม่อยากเสี่ยง ถ้าธุรกิจไม่น่าสนใจ
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า…แล้วจะทำอะไรกินดี?
ยิ่งเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันเขาไม่อยากทำงานประจำเสียแล้ว เพราะคิดว่าเงินเดือนเพียง 15,000 ถึง 20,000 บาท ต่อเดือน ไม่คุ้มค่ากับการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขา
เพราะแค่เรียนในระดับปริญญาตรี ก็มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่พ่อแม่ให้ใกล้เคียงกับตัวเลขดังกล่าวแล้ว เขาจึงมองว่าแล้วจะไปทำงานเพื่ออะไร สู้ออกมาเป็นเถ้าแก่เองไม่ดีกว่าหรือ?
แต่กระนั้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง ยิ่งเฉพาะการทำธุรกิจในวันนี้ด้วย ต้องบอกว่ายากเต็มทน ยกเว้นแต่คนที่ทำอะไรให้แตกต่างจากธุรกิจเดิมๆ ก็อาจมีหนทางประสบความสำเร็จในวิชาชีพได้
คำถามต่อมาคือแล้วจะทำอะไร?
ตรงนี้เป็นเรื่องน่าคิดครับ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คนขายของซ้ำๆ กันอยู่เต็มไปหมด จนแทบคิดไม่ออกเลยว่าแล้วเราจะขายอะไรดี
ต่อให้ทำแตกต่าง แต่เดี๋ยวก็มีคนเลียนแบบอีก ผลเช่นนี้ จึงทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนเริ่มมองย้อนกลับไปยังถิ่นฐานของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่พอจะมีที่มีทางอยู่บ้าง เพราะเขารู้แล้วว่าการทำการเกษตรเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้กับประชาชนคนไทย เพียงแต่ที่ผ่านมาบรรพบุรุษทำการเกษตรแบบไม่มีแบบแผน ทำการเกษตรโดยพึ่งยาฆ่าแมลงเป็นหลัก
แต่เมื่อมาถึงคนรุ่นเขาจึงบอกตัวเองว่าจะไม่ทำการเกษตรอย่างที่คนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายทำอีกต่อไปแล้ว แต่จะทำการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะเรื่องการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ไม่พึ่งพิงย่าฆ่าแมลงอีกต่อไป
ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต้นด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยออกเป็นส่วนๆ โดยใช้หลักวิชาภูมิสถาปัตย์มาวางแผนในแต่ละเฟสว่าจะปลูกอะไรก่อนหลัง เพราะพืชบางชนิดไม่กี่วันสามารถเก็บผลผลิตกิน หรือขายได้แล้ว
ขณะที่พืชอีกบางชนิดต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะพวกไม้ผล และไม้ยืนต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เพียงจะเริ่มเกิดขึ้นแถบภาคเหนือและภาคอีสานของเมืองไทย
หากแถบภาคกลางและภาคใต้ ก็เริ่มมีคนหนุ่มสาวบางคนเริ่มกลับบ้านเพื่อหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันบ้างแล้ว
ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งเพราะคนหนุ่มสาวเหล่านี้มีความรู้ทางเทคโนโลยี ทั้งยังมีความล้ำสมัยในเรื่องของการขายของผ่านโลกออนไลน์ ขณะที่ภาคการผลิตเขาเองอาจยังขาดองค์ความรู้
แต่ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานพร้อมจะให้ความรู้เรื่องของการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่อยู่มากมาย ตรงนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้พวกเขามีโอกาสลองผิดลองถูกในการทำเกษตรอินทรีย์
แม้แรกๆ อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เมื่อเขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความผิดพลาดจากการทดลองจะสอนเขาเองว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งเทรนด์สำหรับเกษตรรุ่นใหม่ในบ้านเราอาจยังไม่มากนัก แต่ก็มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่กระนั้น เมื่อหันไปดูประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ปรากฏว่าคนหนุ่มสาวของประเทศนี้ต่างกลับบ้านเกิดเพื่อมาเป็นเกษตรกรกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนั้นเพราะเขาเห็นว่าการดำรงตนแบบ “มนุษย์เงินเดือน” ในประเทศของเขาทำงานค่อนข้างหนัก ทั้งยังค่อนข้างซีเรียส จึงทำให้คุณภาพชีวิตในแต่ละวันถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญ พวกเขายังต้องมาทำงานในเมือง ไม่ค่อยมีโอกาสดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผลเช่นนี้ จึงทำให้เขาทบทวนตัวเอง เพื่อหาทางออกให้กับชีวิตในวันข้างหน้าว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
จนที่สุดเขาเลือกกลับบ้านเพื่อมาเป็นเกษตรกร ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ทั้งระบบ โดยส่วนหนึ่งนำไปขายในตลาดชุมชนของตัวเอง ส่วนที่เหลือจะส่งไปตามร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะในเมืองของตัวเอง หรือเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียว และเมืองอื่นๆ
ขณะที่อีกทางหนึ่งพวกเขาจะทำการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลผลิต จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งถ้าใครไปประเทศญี่ปุ่นคงทราบดีว่าคนของเขาเก่งเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนทำให้สินค้าของเขาขายดิบขายดี
ถามว่าบ้านเราทำอย่างนั้นได้ไหม…ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เราจะต้องออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยเหมือนอย่างเขา เพราะโดยฝีมือการทำอาหาร ขนม และของขบเคี้ยวต่างๆ บ้านเราอร่อยกว่าเขามากมาย
เพราะฉะนั้น ตลอดปี 2562 หวังว่าสิ่งที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังคงจะถูกนำไปใช้ประโยชน์บ้างนะครับ
ผมหวังเช่นนั้นจริงๆ