ไม่มีจ่าย-ทานฟรี! “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ถือคติ “ขาดทุนคือกำไร”

กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี
กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี

ไม่มีจ่าย-ทานฟรี! “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี”   ถือคติ “ขาดทุนคือกำไร”

ข้าวราดกะเพราหมูสับล้วน ไม่ปนผักอื่นเพื่อเพิ่มปริมาณ สำหรับผู้ใหญ่หนึ่งอิ่มสบายๆ  ที่ร้าน “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ย่านพุทธมณฑลสายสอง  ปัจจุบันขายในราคาเพียงจานละ 20 บาท

แต่หากใครไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ่าย สามารถหยิบคูปอง ที่แขวนไว้อยู่บนกระดานแผ่นใหญ่หน้าร้านนำมาเมนูหลักไปรับประทานได้โดยไม่ผิดกติกา

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ เคยถูกตั้งคำถามตรงไปตรงมา จากลูกค้าหลายท่านที่ทราบข้อมูลว่า

“ทำแบบนี้-มีกำไรหรือ”  “ทำเพื่ออะไร” และแม้กระทั่ง  “จะทำไปทำไม”

คำบอกเล่าอรรถาธิบาย จาก “คนต้นคิด” เจ้าของธุรกิจใจดี นับจากนี้ น่าจะสามารถไขข้อข้องใจข้างต้นได้ดี ซึ่ง “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” รวบรวมไว้นับจากนี้แล้ว

หวังผู้บริโภคทุกระดับ

ได้ทานของดีมีประโยชน์

ช่วงสายของวันเปิดร้านตามปกติ คุณรุจน์ สุวรรณเสรีเกษม เจ้าของกิจการ “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” วัยห้าสิบเศษ กรุณาสละเวลามาให้ข้อมูลความเป็นมาเป็นไป ด้วยอัธยาศัยยิ้มแย้มกันเอง

เริ่มต้นจากการแนะนำตัวให้รู้จักกันมากขึ้น พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ ปัจจุบันประกอบหลายอย่าง ทั้งผลิต-จำหน่ายอาหารเสริม เปิดคลินิกแพทย์แผนไทย และมีธุรกิจหลักอยู่ในแวดวงน้ำมันมะพร้าว คือเป็นทั้งเจ้าของสวนมะพร้าวและโรงงานผลิตน้ำมันมะพร้าวอยู่ที่จังหวัดชุมพร

“อยู่ในวงการน้ำมันมะพร้าวมาสิบกว่าปี คลุกคลีเกี่ยวกับเรื่องไขมันมาตลอด และรู้ว่าไขมันทรานส์ นั้น ไม่ดี  ที่ผ่านมาจึงพยายามรณรงค์เรื่องเหล่านี้ออกไปในสังคม กระทั่งปัจจุบันนี้ ทั่วโลกเข้าใจตรงกันแล้วว่าน้ำมันมะพร้าว มีข้อดีอย่างไร”คุณรุจน์ บอกจริงจัง

คุณรุจน์ เจ้าของกิจการ

แล้วหันมาลงทุนทำร้านอาหารนี้ได้อย่างไร คุณรุจน์ นึกย้อนครู่หนึ่ง ก่อนเล่า ที่บ้านไม่ทานผงชูรส  ไม่ใส่วัตถุปรุงแต่ง เพราะเป็นโรคภูมิแพ้ แต่หาหมอรักษาเท่าไหร่ไม่หาย เลยหันมาศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์องค์รวม  จากนั้นอาการป่วยทุกอย่างดีขึ้น จึงตั้งข้อสังเกตจากตัวเอง ทำไมร้านอาหาร “ริมทาง” ส่วนใหญ่ ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพของทั้งตนเองและผู้บริโภค

เลยตั้งโจทย์ขึ้นมาจะทำอย่างไรดี ประกอบกับเคยศึกษาทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ว่า ขาดทุนคือกำไร และทำอะไรอย่าไปคิดถึงแต่มูลค่า ให้คิดถึงคุณค่าก่อน เลยนำหลักดังกล่าวมาดำเนินธุรกิจร้านอาหาร “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี”นี้ขึ้นมา

“ข้าวสวย  ใช้หอมมะลิ 100% อย่างดี ผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่  ผักและเนื้อสัตว์  ล้างด้วยเครื่องล้างโอโซน  ใช้น้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร และที่สำคัญ ไม่ใส่ผงชูรส หรือผงปรุงรสใดๆ  นี่คือโมเดลที่ผมอยากโยนความคิดเข้าไปในสังคม คนขายอาหารริมทาง ต้องคิดแบบนี้  คือ ทำยังไงให้อาหารที่ทำออกมาปลอดสารพิษ ไม่ทำลายคน ไม่ทำลายโลก ทำให้ผู้บริโภคได้กินของดีๆ  แต่ไม่จำเป็นต้องขายราคาจานละยี่สิบบาท จะขายแพงกว่านั้นก็ได้ เชื่อว่าถ้าทุกภาคส่วนในสังคมคิดอย่างนี้ คนไทยจะสุขภาพแข็งแรงขึ้น”คุณรุจน์ บอกอย่างนั้น

หน้าร้านต้นแบบ ย่านพุทธมณฑลสายสอง

สำหรับจุดตั้งต้น ของร้าน “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” แห่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดย  คุณรุจน์ ใช้อาคารพาณิชย์ ริมถนนย่านพุทธมณฑลสายสอง ซึ่งเป็นตึกเก่าบริษัทของเขาเองดัดแปลงเป็นร้านอาหาร มอบหมายให้ลูกชายซึ่งจบมาทางด้านสถาปัตยกรรม ช่วยออกแบบตกแต่ง ใช้เวลาไม่นาน ภายใต้งบฯลงทุนประมาณ 9 แสนบาท ร้านอาหารจากความตั้งใจก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

และเพื่อให้สมกับความ “ใจดี” อย่างชื่อตั้ง คุณรุจน์ จึงวางแนวคิดไว้ ให้ร้านอาหารแห่งนี้ เป็นเหมือน  “หน้าร้าน” ของมูลนิธิ “หัวใจแห่งความหวัง” ที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง/ภูมิแพ้  ผู้ยากไร้ในสังคมตามแนวทางธรรมชาติบำบัด

“มูลนิธิหัวใจแห่งความหวัง เพิ่งได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นาน  และเป็นจังหวะเดียวกันที่อยากทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ ทำหน้าที่งานของมูลนิธิขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถบอกเล่าเรื่องราวการช่วยเหลือตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ร้านอาหารแห่งนี้ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ ได้มีโอกาสรับประทานอาหารดีๆ ไม่มีสารปนเปื้อนหรือผงชูรส”คุณรุจน์ อธิบาย

กำไรจานละ 3 บาท

ธุรกิจนี้อยู่ได้

ส่วนรูปแบบการช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ ได้มีโอกาสรับประทานอาหารดีๆ ไม่มีสารปนเปื้อนหรือผงชูรสนั้น  คุณรุจน์ ขยายความให้ฟัง  คือ เริ่มจากตัวเขาเอง ตั้งงบฯขึ้นมาจำนวนหนึ่ง และนำแปลงเป็น “คูปอง” มูลค่าคูปองละ 20 บาท ก่อนนำไปแขวนไว้ที่ “กระดานส่งต่อความสุข” ซึ่งตั้งอยู่หน้าร้าน  หากคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ แต่อยากทาน “อาหารดีๆ” ก็สามารถไปหยิบคูปองนั้นมาแลกข้าวกะเพราหมูได้หนึ่งจาน

กระดานส่งต่อความสุข

“สองเดือนแรก ขายได้วันละ 1,500-2,000 จาน  ลูกค้ามีทั้งแบบจ่ายเงินและหยิบคูปองทานฟรี  หลายท่านชอบแนวคิดของร้านเรา ก็จะซื้อคูปองมากน้อยแล้วแต่กำลัง  แล้วนำไปมาห้อยไว้บนกระดานส่งต่อความสุข  ปรากฏว่าทุกวันนี้คนบริจาคคูปองนั้นมีมากกว่าคนมาหยิบคูปองทานฟรี เมื่อคูปองเหลือจำนวนหนึ่ง  เรารวบรวมคูปองนั้นมาแลกข้าวกล่องจากทางร้าน  ก่อนส่งไปยังสถานสงเคราะห์ต่างๆ เดือนหนึ่งประมาณ 3-4 ครั้ง  ซึ่งกล่องข้าวของทางร้านเราเป็นวัสดุรักษ์โลก ที่นำไป รีไซเคิลได้”คุณรุจน์ เผยข้อมูล ก่อนยิ้มกว้าง

คุยกันมาถึงตรงนี้ ถามถึงที่มาของชื่อร้าน คุณรุจน์ เผยให้ฟัง ที่ผ่านมาเขา “ทำบุญ” ด้วยการให้มาตลอดปีหนึ่งๆหลายสิบล้าน เพื่อนๆมักชอบพูดทีเล่นที่จริง “พี่ยักษ์ใหญ่ใจดี” หลายคนเลยแนะนำให้ใช้คำนี้  จากนั้นจึงให้ ลูกชายออกแบบร้าน/โลโก้ ภายใต้สโลแกน “พอเพียง พอใจ แบ่งปัน รักษ์โลก”

เจ้าของเรื่องราวท่านเดิม บอกด้วยว่า ภายในปี 2562  ตั้งใจจะขยายร้าน “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ให้มีอย่างน้อย 20 สาขา กระจายไปตามทำเลต่างๆ โดยเป็นการลงทุนทั้งของตัวเองและรูปแบบแฟรนไชส์

นึกสงสัย ทำไปแจกไป ขายเพียงจานละ 20 บาท ถ้าทุนไม่หนา ธุรกิจร้านอาหารแบบนี้จะไปรอดหรือ คุณรุจน์ อธิบายจริงจังว่า ขายข้าวจานละยี่สิบบาท ต้นทุนหลังหักภาษี  ตกแล้ว 17 บาท ยังมีกำไรจานละ 3 บาท  วันหนึ่งขายได้  1,500 จาน กำไรวันละ 4,500 บาท ถามว่าอยู่ได้มั๊ย อยู่ได้นะ แต่อาจต้องหาอาหารหรือสินค้าตัวอื่นมาเสริมอีกหน่อย

“โมเดลร้านอาหารแบบนี้ ผมอยากส่งต่อไปยังผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถมาเรียนรู้ได้ ไม่ยากอย่างที่คิด ทำเป็นธุรกิจได้จริง แถมได้ส่งต่อสิ่งดีๆให้สังคม  ไม่เสียชาติเกิด”เจ้าของกิจการ วัยห้าสิบเศษ ว่ามาอย่างนั้น

เมื่อถามถึงเป้าหมายของ “กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” คุณรุจน์ ตาเป็นประกาย ก่อนตอบ

“อยากส่ง ยักษ์ใหญ่ใจดี ไปตีตลาดโลก หวังให้มีการแบ่งปันไปตลอดทาง  กำไรทุกบาทคืนสู่สังคมให้หมด  อาหารไทยนั้นดีมาก เป็นอาหารอร่อยที่สุดในโลก เพียงแต่ทุกวันนี้ ร้านที่ปลอดภัย กินได้แบบง่ายๆไม่มีมีใครบอกได้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง  ผมอยากส่งต่อเรื่องนี้ออกไปถึงผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะใหญ่เล็กระดับไหน ถ้าอยากอยู่ต่ออย่างยั่งยืน  ควรนึกถึงคนทาน คุณภาพ ความปลอดภัย เป็นหลักสำคัญ”

“กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” มีอาหารขายไม่กี่เมนู อาทิ ข้าวกะเพราหมูสับ 20 บาท ข้าวกะเพราก้านเห็ด 30 บาท ไข่ต้ม 5 บาท หากต้องการนำกลับบ้าน ใส่กล่องเพิ่ม 5 บาท

“กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ไม่มีบริกร เน้นบริการตัวเอง ทั้งสั่งอาหาร เสิร์ฟน้ำดื่ม เมื่อทานเสร็จต้อง เก็บจานไว้ในที่ทางร้านเตรียมไว้ด้วย

 

“กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ใจดีสมชื่อ ใครไม่มีกำลังซื้อ สามารถนำคูปองมูลค่า 20 บาทที่แขวนไว้หน้าร้านไปแลกข้าวกะเพราหมู ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 10.30 -18.00 น.

“กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี” ตั้งอยู่เลขที่ 141/13 ถนนพุทธมณฑลสาย 2 ศาลาธรรมสพน์ ทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170  โทรศัพท์ 062-007-19911 Facebook/กะเพรายักษ์ใหญ่ใจดี