ผู้เขียน | สาโรจน์ มณีรัตน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เรียนรู้จากความสำเร็จ…เผื่อจะรวยแบบเขาบ้าง!?!
นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 4 – วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561 ที่ลงสัมภาษณ์ “ชฎาทิพ จูตระกูล” ผู้บริหารระดับสูงของสยามเซ็นเตอร์, สยามดิสคัฟเวอรี่, สยามพารากอน และ ไอคอนสยาม
ศูนย์การค้าแห่งใหม่ล่าสุด บริเวณถนนเจริญนคร ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561 โดยมีอาณาบริเวณพื้นที่ให้บริการลูกค้ากว่า 7.5 แสนตารางเมตร
ทั้งยังตั้งเป้าที่จะมีลูกค้ามาใช้บริการมากกว่าวันละ 1.5 แสนคน
ทั้งนั้นเพราะ “ชฎาทิพ” เชื่อว่าไอคอนสยามน่าจะเป็นแม็กเนตในการดึงดูดลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติให้มาช็อปปิ้งมากที่สุด เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของไอคอนสยามจะไม่ใช่ศูนย์การค้า แต่จะเป็นเดสติเนชั่น (ปลายทาง) ที่ทุกคนต้องมา
ถามต่อว่าทำไมต้องมา?
คำตอบแรกคืออาจเพราะอาคารของไอคอนสยามถูกออกแบบให้สะท้อนถึงเอกลักษณ์ และสื่อถึงความเป็นไทยสไตล์ โดยเฉพาะกับการนำกระทง การบายศรีสู่ขวัญ และการห่มสไบ มาผสมกับความคิดสร้างสรรค์ของสถาปนิก
จนทำให้อาคารแห่งนี้มีความโดดเด่นมากกว่าอาคารแห่งใดบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังมีการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของความเป็นไทยนิยมด้วย
ดังนั้น ไม่ว่านักท่องเที่ยวชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักกับความเป็นไทยสไตล์มากพอ หากมายังสถานที่แห่งนี้ก็จะเข้าใจเรื่องราวของความเป็นไทยโดยไม่ยากนัก
สำคัญไปกว่านั้น ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมที่มาจากผลงานของศิลปินชาวไทยและชาวต่างประเทศอีกนับไม่ถ้วน
ซึ่งถือเป็นแม็กเนตอย่างดีของผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ
ส่วนคำตอบที่สอง ต้องบอกว่า ไอคอนสยามเป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าระดับพรีเมี่ยมของโลก ฉะนั้น ต่อให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เคยมีโอกาสเดินทางไปประเทศไหนๆ บนโลกใบนี้ ก็เชื่อแน่ว่าจะไม่มีแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมมากเท่านี้มาก่อน
ผมฟังแล้วทำให้รู้สึกอยากไปชมสักครั้งก็ยังดี
แม้จะไม่ค่อยมีสตางค์ก็ตาม
ถามว่าเมื่อผมอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เสร็จแล้วผมคิดอะไรต่อ ผมคิดถึงถนนคนเดินของหลายๆ จังหวัดครับ ทำไมน่ะหรือ คำตอบเพราะการออกแบบของไอคอนสยามถูกดีไซน์ให้ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยมีร้านสินค้าของ แบรนด์เนมชั้นนำต่างๆ ล้อมอยู่โดยรอบ
อันเป็นการยั่วกิเลสลูกค้าโดยตรง
แม้ลูกค้าจะไม่อยากซื้อของก็ตาม แต่เมื่อเดินไปก็เจอ เดินไปก็เห็น และเดินไปก็อาจมีคำถามถามกับตัวเองอย่างขัดแย้งว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี จนที่สุดอาจซื้อสินค้าก็ได้
ตรงนี้ถือเป็นความคิดอ่านที่ลึกซึ้งมากสำหรับการออกแบบเช่นนี้
องค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งที่เชื่อแน่ว่าไอคอนสยาม จะมีลูกค้าแห่เดินทางมาประมาณวันละ 1.5 แสนคน ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะช่วงของการแกรนด์โอเพนนิ่งอยู่ราวเดือนพฤศจิกายน ที่เชื่อมต่อไปจนถึงเดือนธันวาคม และมกราคมอันเป็นช่วงพีกของการจับจ่ายซื้อของสำหรับปีใหม่ 2562
ทั้งยังจะเชื่อมต่อไปยังเทศกาลตรุษจีนราวเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย
แต่ที่น่าสนใจ และเชื่อแน่ว่าจำนวนตัวเลขลูกค้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือทางผู้บริหารของไอคอนสยามลงทุนในการสร้างสถานีไอคอนสยาม ซึ่งเป็นสถานีหนึ่งของรถไฟฟ้าสายสีทองที่พร้อมจะเปิดให้บริการราวไตรมาส 3 ของปี 2562
ดังนั้น การขนถ่ายผู้คนให้มาจับจ่ายซื้อของยังสถานที่แห่งนี้ จึงมีความน่าสนใจทันที
ซึ่งเหมือนกับการออกแบบถนนคนเดินของหลายๆ จังหวัด ผมว่าลองให้ภูมิสถาปัตย์ของจังหวัดต่างๆ ลองใช้โมเดลของไอคอนสยามไปปรับใช้บ้าง เผื่อบางทีจะทำให้ถนนคนเดินของจังหวัดเหล่านั้นเกิดความน่าสนใจ
เพราะเท่าที่พบเห็นถนนคนเดินของบางจังหวัด มักจะเป็นเส้นตรงเพียงเส้นเดียวที่ทอดยาวราวๆ สัก 1 กิโลเมตร ทั้งสินค้าที่ขายก็ค่อนข้างซ้ำ จึงทำให้ไม่ค่อยน่าสนใจ
แต่ถ้าลองออกแบบถนนให้มีสินค้าล้อมนักท่องเที่ยวอย่างไอคอนสยามดูบ้าง พร้อมกับเปิดร้านรวงต่างๆ ของผู้คนที่อยู่สองฟากถนน เพื่อขายอาหารการกิน เสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น และอื่นๆ เพื่อกักขังไม่ให้ลูกค้าหลุดหายไปไหน
ผมว่าเราน่าจะขายของได้มากขึ้น
สำคัญไปกว่านั้น ลองนำแนวคิดสตรีตอาร์ตเข้าไปผสมในถนนคนเดินด้วย พร้อมๆ กับสร้างพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้นมา เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษาหาความรู้
มีกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ยามค่ำคืน
พร้อมๆ กับเปิดมินิบาร์เล็กๆ คอยไว้บริการนักท่องเที่ยว
ผมเชื่อแน่ว่า น่าจะเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งของถนนคนเดินในหลายจังหวัดที่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้มาเที่ยวซ้ำบ่อยครั้ง
เพียงแต่เราจะต้องมี สตอรี่เทลลิ่ง (Storytelling) ในการเล่าเรื่องต่างๆ ให้น่าสนใจด้วย ไม่แน่บางทีสินค้าของเราที่เคยขายแบกะดินตามถนนคนเดิน อาจถูกนักท่องเที่ยวชาวจีนและประเทศต่างๆ ติดต่อสั่งสินค้าของเราไปขายในประเทศของเขาก็ได้
เพราะทุกอย่างเคยปรากฏมาแล้ว
โดยเฉพาะแถวจตุจักร ถนนคนเดินเชียงใหม่ และถนนคนเดินในจังหวัดอื่นๆ ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนติดต่อซื้อสินค้าของเราไปขายต่อในโลกออนไลน์
จนทำให้ทั้งเขาและเรารวยไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งพอผมอ่านบทสัมภาษณ์เสร็จ จึงอดไม่ได้ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครที่ขายของตามถนนคนเดิน หรือตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มีผู้คนไปเยือน
ลองนำแนวความคิดที่ผมเล่าให้ฟังไปปรับใช้ดู
เผื่อจะรวยแบบเขาบ้าง?