“น้ำปลาไทย” กว่าจะส่งไปขายเมืองนอกไม่ใช่ง่าย โดนไล่อออกจากร้านมาแล้ว!

“น้ำปลาไทย” กว่าจะส่งไปขายเมืองนอก ไม่ใช่ง่าย โดนไล่อออกจากร้านมาแล้ว!

ความ “มั่งคั่ง และ “มั่นคง” ของธุรกิจน้ำพริกมูลค่านับพันล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “พันท้ายนรสิงห์” มีจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว จากบรรพบุรุษ รุ่นพ่อ-แม่ ซึ่งมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อดทน ขยัน และบากบั่น มากพอที่จะ ให้รุ่นลูก-หลาน ยึดถือเป็นแบบอย่างและสานเจตนารมณ์ต่อมาจนถึงวันนี้

จากทำกันอยู่ “ครัวหลังบ้าน” มาถึงปัจจุบัน กิจการเติบโตเป็น บริษัท อุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมือง จำกัด ในฐานะเจ้าของสินค้าในกลุ่มเครื่องปรุงรสและเครื่องจิ้มนานาชนิด ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราพันท้ายนรสิงห์” มีโรงงานผลิตตั้งบนที่ดินกว่า 80 ไร่ อยู่ริมถนนใหญ่ เขตตำบลกาหลง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

ล่าสุดผลิตภัณฑ์แบรนด์ “พันท้ายนรสิงห์” นับร้อยรายการ ถูกส่งออกไปจำหน่ายไปขายยังต่างแดน กว่า 50 แห่ง นับตั้งแต่ กลุ่มประเทศในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งประเทศแถบโซนเอเชียด้วย

คุณสุนทร วัฒนาพร ประธานกรรมการบริษัท อุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมือง จำกัด ย้อนให้ฟังถึงพัฒนาการของธุรกิจครอบครัวให้ฟังว่า หลังจากน้ำพริกเผา “ตราพันท้ายนรสิงห์” ประสบความสำเร็จ คุณแม่สุรีย์ ซึ่งทำหน้าที่อยู่ฝ่ายผลิต ได้คิดค้นน้ำพริกสูตรอื่นออกมาขายเพิ่มเติมอีก 4 ชนิด คือน้ำพริกตาแดง น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกกุ้ง และน้ำพริกปลาร้า ก่อนจะตามมาด้วยน้ำจิ้มปลาหมึก และน้ำจิ้มไก่

เมื่อยอดขายในประเทศประสบความสำเร็จอย่างดี ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้ จึงเห็นพ้องกันว่า ควรออกไปบุกตลาดต่างประเทศดูบ้าง โดยราวปี พ.ศ. 2519 ได้ส่งน้ำจิ้มไก่ และน้ำพริกนรก เข้าไปขายที่ประเทศออสเตรเลียเป็นแห่งแรก เพราะประเมินว่ามีคนไทยอาศัยอยู่กันไม่น้อย

หลังจากเริ่มส่งออกได้ไม่นาน เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดการอพยพของผู้คนจำนวนมาก มีการหนีไปตั้งรกรากตามประเทศต่างๆ อาทิ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากจุดนี้เอง เป็นเหตุให้สินค้าไทย หลายชนิดถูกส่งไปขายในต่างแดนกันอย่างกว้างขวาง และเป็น “โอกาสทอง” ของสินค้าตราพันท้ายนรสิงห์ด้วย

ยาก-ง่าย แค่ไหน กับการนำผลิตภัณฑ์ไปตั้งบนเชล์ฟร้านค้าต่างแดนในยุคบุกเบิก ประเด็นนี้ คุณสุนทร ถึงกับหัวเราะลั่น ก่อนเล่าเสียงดังออกรส

“ยากมาก ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเข้าวางขายได้แต่ละตัว ตอนจะเอาน้ำปลา เข้าไปขายย่านโซโห ประเทศอังกฤษ เจ้าของร้านค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน พยายามอธิบายอยู่ตั้งนานว่า ฟิช ซอส เขาส่ายหัว ไม่รู้จัก รู้จักแต่ซอย ซอส หรือซีอิ๊ว พอตัดจุกขวดเท่านั้นแหละ โดนไล่ออกจากร้านเลย”

เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ตราพันท้ายนรงสิงห์” ยังเผยให้ฟังถึงแนวคิดในการทำธุรกิจด้วยว่า การส่งของไปขายเมืองนอกให้คนไทยนั้น เป็นเพียงเป้าหมายแรก แต่ “เป้าหมายใหญ่” ที่ตั้งไว้ในใจ คือ หวังให้คนต่างชาติรู้จัก และหันมารับประทาน สินค้า “แบบไทยๆ” ดูบ้าง เลยพยายามบุกตลาด ด้วยการนำเครื่องปรุงพวก น้ำจิ้มไก่ น้ำปลา น้ำพริกเผา เข้าไปเป็นส่วนประกอบของอาหารไทย เพื่อทำขายให้ต่างชาติรับประทาน

กระทั่งปัจจุบัน มีราว 95 เปอร์เซ็นต์ ของภัตตาคารไทยในต่างประเทศ หรือประมาณหมื่นกว่าราย เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ “ตราพันท้ายนรสิงห์” โดยเฉพาะน้ำพริกเผา ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมของต้มยำ เนื่องจากรสชาติถูกปากชาวต่างชาติ ยิ่งระยะหลัง ชาวตะวันตก เริ่มรู้จักการรับประทานน้ำจิ้มไก่ เขานำไปทาบาร์บีคิว ทำให้ยอดขายน้ำจิ้มไก่ ในทวีปยุโรป เติบโตมาก

ความพยายามในการ “ชักจูง” ให้คนต่างชาติ หันมารับประทานสินค้าแบบไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการทำธุรกิจของ “พันท้ายนรสิงห์” นั้น ดำเนินต่อมาเป็นระยะ โดยในราวปี พ.ศ. 2525 คุณสุนทรมีแนวคิดนำ “น้ำจิ้มไก่” เข้าไปขายในประเทศจีน แต่ตอนที่เผยความตั้งใจให้เพื่อนฝูงฟัง กลับถูกหัวเราะเยาะถึงขั้น “ตกเก้าอี้” ก่อนจะถูกหาว่า “บ้า” ถ้าคิดจะนำ “พริก” ไปให้คนจีนรับประทาน

คุณสุนทร จึงอธิบายให้พรรคพวกฟัง เขามีความเชื่อว่าทุกชนชาติในโลก ไม่มีใครอยากรับประทานอาหารซ้ำแบบเดิมตลอดเวลา คงต้องการ “เปลี่ยนอารมณ์” กันบ้าง ยกตัวอย่าง แต่ไหนแต่ไร คนจีนรับประทานไก่จิ้มแต่กับซีอิ๊ว เพราะไม่ชอบเผ็ด แต่ถ้าวันหนึ่งอยากเปลี่ยนรสชาติ จากไก่จิ้มซีอิ๊ว มาเป็นจิ้มกับน้ำจิ้มไก่ สินค้าของเขา คงเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมากทันที

“ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี กว่าที่คนจีนจะรู้จักน้ำจิ้มไก่ แต่ไม่เคยคิดถอดใจ เรื่องแบบนี้ เข้าทำนอง สองคนยลตามช่อง มองกันคนละมุม เพราะถ้าวันไหนคนจีนหันมาทานน้ำจิ้มไก่เมื่อไหร่ ผมก็รวยเมื่อนั้น และทุกวันนี้ พันท้ายฯ ส่งน้ำจิ้มไก่ ไปขายที่จีน ปีหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยตู้คอนเทนเนอร์ แม้จะมีสินค้าของปลอมมาขายแข่งก็ตาม” คุณสุนทร บอกยิ้มๆ

เกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายทั้งในและต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน เจ้าของผลิตภัณฑ์ เผยให้ฟัง ส่งออกปีหนึ่งถึงหลักพันล้านบาท สินค้าส่งออกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง คือ น้ำจิ้มไก่ รองลงมาคือ น้ำพริกเผา ส่วนสินค้าขายดีติดอันดับหนึ่งในประเทศ คือ น้ำจิ้มสุกี้สูตรกวางตุ้ง รองลงมา คือ น้ำจิ้มกระทะร้อน น้ำพริกเผา และ น้ำจิ้มไก่

ทุกวันนี้ คงต้องยอมรับว่าที่ยืนในตลาดของ “พันท้ายนรสิงห์” อยู่บนจุดของความสำเร็จแล้ว แต่กว่าจะมาถึงได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าของเรื่องราว กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ปัญหาอุปสรรคของคนทำธุรกิจ ล้วนแล้วต้องเจอะเจอแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอ คือ “อย่าท้อถอย”

“ที่ผ่านมาเจอมาเยอะ ทั้งวิกฤตค่าเงินบาท ลูกค้าโกงเป็นสิบล้าน แต่อย่าไปท้อ ล้มได้ก็ยืนใหม่ได้ ความบีบคั้นมันจะทำให้มีไฟต่อสู้ การล้มครั้งหนึ่งจะทำให้เราละเอียดรอบคอบขึ้น” คุณสุนทร บอกอย่างนั้น

ก่อนฝากแง่คิดสั้นๆ ไว้ สไตล์พ่อค้ารุ่นใหญ่ ใจนิ่ง ไว้ด้วยว่า

ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม