เป็นไปได้?!? “ไผ่ทอง” สองเจ้า เป็น“ของแท้” ทั้งคู่

กำลังร้อนระอุอยู่โลกโซเชียล เพราะเรื่องราวดราม่า-แย่งชิงธุรกิจในครอบครัว เข้มข้นราวกับละครดัง หลังจากมีข้อกังขาว่าไอศกรีมเก่าแก่ ยี่ห้อ “ไผ่ทอง” นั้น มีใครเป็นเจ้าของกันแน่ ระหว่างเจ้าที่เขียนข้างถ้วยว่า   “ไผ่ทอง ไอสครีม” หรือเจ้าที่เขียนข้างถ้วยว่า “ไผ่ทอง ไอศครีม”  ทั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ ฝ่าย “ไผ่ทอง ไอสครีม”  ได้ออกมาแชร์ภาพ และข้อความภาพผ่าน Facebook ระบุให้ผู้บริโภคระวังแบรนด์ปลอมทำเลียนแบบ พร้อมระบุได้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและเอาผิดฐานลอกเลียนแบบตราสินค้าแล้ว

คุณบุญชัย ชัยผาติกุล อายุ 54 ปี เจ้าของกิจการ “ไผ่ทอง ไอศครีม” บุคคลที่ตกเป็นข่าว ซึ่งกำลังถูกมารดา ของตนเองฟ้องร้องกรณีดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ด้วยการย้อนประวัติความเป็นมาในครอบครัวของเขาว่า มีพี่น้องรวมทั้งหมด 8 คน ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 6 คน  ตัวเขาเป็นลูกคนที่ 6 และเป็นน้องชายคนเล็ก ซึ่งตามธรรมเนียมจีน พ่อแม่จะแบ่งสมบัติ พวกบ้าน ที่ดิน โรงงาน ให้กับลูกผู้ชาย ถ้าเป็นเงินทองจะแบ่งให้ลูกผู้หญิง

กระทั่งเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน พ่อของเขา แบ่งมรดกให้ลูกชายทั้ง 2 คน โดยพี่ชายคนโต ได้เลือกก่อนว่า จะเอาทรัพย์สินใด ตอนนั้นพี่ชายของตน ไม่เลือกธุรกิจไอศกรีม เนื่องจากเห็นเป็นงานหนักและเหนื่อยมาก ต้องทำงานตั้งแต่ตี 4 ถึงเที่ยงคืน ประกอบกับช่วงเวลานั้นโรงงานยังเป็นแค่บ้านเช่า อยู่แถวย่านเจริญรัถ พี่ชายเลยเลือกทรัพย์สินอื่นไป

“พ่อถามผมว่า จะเอาโรงงานไอติมไหม ถ้าไม่จะได้ปิด ตอนนั้นผมอายุ 17-18 ปี ไม่คิดว่าลูกชายคนรองลงมาจะได้สมบัติอะไร แต่ก็รับกิจการไว้ และเริ่มทำงานที่โรงงานไอติมมานั่นแหละ”คุณบุญชัย เล่า

ต่อมาพ่อของเขาเห็นว่าธุรกิจโตขึ้น ควรขยายพื้นที่ จึงไปซื้อที่แถวสะพานขาว เปิดโรงงานเพิ่มแล้วให้จดทะเบียนเป็นชื่อของพี่สาว เพราะตอนนั้นตัวเขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต่อมามีการซื้อคืน และใส่ชื่อเขาให้เป็นเจ้าของโรงงาน  “ไผ่ทอง  ไอศครีม” มาตั้งแต่ปี 2530

กระทั่ง ปี 2538  กิจการไอศกรีม ดีขึ้นตามลำดับ ส่วนพี่ชายที่รับกิจการอื่นไปทำ ไม่ประสบความสำเร็จ      และด้วยความที่คนจีนให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตมาก แม่เลยมายึดกิจการไอศกรีมจากตนคืน  เริ่มจาก  ยึดกุญแจ นั่งโต๊ะคุมโรงงาน และให้เขียนเอกสารโอนคืน แต่ตนไม่ยอม กระทั่งเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง

“ตลอดเวลาแม่พยายามให้โอนชื่อโรงงานให้ แต่ผมไม่โอน และลามมายืดบ้าน เลยได้แต่คิดว่ากิจการก็เอาไปแล้ว จะเอาบ้านไปอีกหรอ แต่สุดท้ายผมถูกบีบให้ออกจากบ้าน กลายเป็นว่าตอนนั้นมีแต่ตัวกับสูตรไอติมที่อยู่ในหัวเท่านั้น”คุณบุญชัย ให้ข้อมูล

ก่อนเล่าต่อ ชีวิตของเขาและภรรยาช่วงเวลานั้น ต้องไปขออาศัยอยู่กับญาติและคนรู้จัก  ไม่มีเงินพอที่จะเปิดโรงงานไอศกรีมใหม่  แต่ตนมีความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้า  จึงเปิดร้านขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟ ทำได้ไม่นานพอเริ่มมีเงินทุน จึงไปรับไอศกรีมจากที่บ้านมาขาย

 

“ทางเขาก็รู้ว่าผมซื้อไอติมไปขาย แต่ตอนนั้นมองว่าเป็นแค่เจ้าเล็ก ไม่ใช่คู่แข่ง ยังไม่ได้อะไร ผมก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย กระทั่งปี 2549 มีเงินพอเปิดโรงงานเล็กๆ และเติบโตมาถึงปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็มีเรื่องฟ้องร้องกันอย่างที่ตกเป็นข่าว” คุณบุญชัย เผย

เมื่อถามว่า ทำไมถึงคิดขายไอศกรีม อยู่ คุณบุญชัย ตอบเสียงดังฟังชัด

“มันคือ In my mind   ผมทำ  ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก รับกิจการต่อจากพ่อก่อนที่เขาจะเข้ามากัน ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่เลิก แล้วไปทำอย่างอื่น คงบอกได้ว่า การทำไอติม มันเป็นจิตวิญญาณของผมไปแล้ว ”

คุณบุญชัย บอกด้วยว่า สูตรไอศกรีมดั้งเดิมของพ่อเขานั้น เป็นไอศกรีมกะทิที่ใช้แป้งมันผสมกับน้ำแล้วนำมาผสมกับกะทิอีกที แต่ด้วยความที่เขาคลุกคลีในโรงงานมาตั้งแต่เด็ก จึงเชี่ยวชาญพอที่จะคิดสูตรใหม่ เป็นการ “ฟิวชั่น”สูตร ระหว่างไอศกรีมไทยกับไอศกรีมฝรั่งเข้าด้วยกัน  สรุป คือ ตัวเขาเองที่เป็นคนคิดสูตรไอศกรีมไผ่ทองยุคปัจจุบัน

“ถ้าถามว่าทุกวันนี้เจ้าไหนเป็นของแท้ บอกได้ว่าเป็นของแท้ทั้งคู่ เพราะสูตรไอติมนั้นเป็นสูตรเดียวกัน ตอนแม่ยึดโรงงานไป ก็เอาไปทั้งคนงาน ทั้งสูตรทำนั่นแหละ”คุณบุญชัย  ระบุอย่างนั้น