ยืนหยัด 70 ปีไม่คิดเปลี่ยนชื่อ! “ถ้าสามารถทำให้คำว่า ศรีจันทร์ เท่ขึ้นมาได้ สินค้าจะอยู่ตลอดไป”

กิจการนำเข้าและจำหน่ายสารเคมีเกี่ยวกับการผลิตยาและเครื่องสำอาง ภายใต้การริเริ่มของ คุณพงษ์ หาญอุตสาหะ ก่อร่างสร้างตัวจากร้านขายยาคูหาเล็กๆ ในย่านวังบูรพา จดทะเบียนเป็น บริษัท สหโอสถ จำกัด เมื่อ พ.ศ. 2491

ต่อมาได้ “สร้างผลิตภัณฑ์” ของตัวเอง เป็น เครื่องสำอางสูตรสมุนไพรจีน จากการคิดค้นของ นพ.เหล็ง ศรีจันทร์ เลยให้ชื่อเรียกขานว่า “ผงหอมศรีจันทร์”

จากนั้นไม่นาน ทางคุณพงษ์ ผู้ก่อตั้ง ได้ขอซื้อทั้งสูตรและกิจการมาจาก นพ.เหล็ง ก่อนจะเปลี่ยนชื่อกิจการมาเป็น บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กระทั่งปัจจุบัน

และด้วยคุณสมบัติที่โดนใจ ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา “ผงหอมศรีจันทร์” จึงเป็นเครื่องสำอางที่ผู้หญิงจำนวนมากให้ความไว้วางใจบอกต่อกันรุ่นสู่รุ่น

แต่เมื่อมาถึงยุคที่อะไรๆ ก็ต้อง “ดูชิก ดูคูล” บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ หลายคนอาจรู้สึกเขินอาย หากต้องหยิบตลับเครื่องสำอางแบรนด์ไทย แพ็กเกจที่ไม่ค่อยทันสมัย ออกมาใช้ประหน้าประตาในที่สาธารณะ

ในช่วงเวลานั้น ทายาทกิจการ “ผงหอมศรีจันทร์” รุ่นที่ 3 อย่าง คุณรวิศ หาญอุตสาหะ วิศวกรหนุ่มวัยเพียง 20 ปลายๆ ที่พ่วงดีกรี MBA จากสหรัฐอเมริกา จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำในธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังไปได้สวย

เพื่อลงมาช่วยประคองธุรกิจของครอบครัวซึ่งกำลังถอยหลังเต็มที เพราะยอดขายที่เคยดีนั้น นับวันมีแต่จะลดลงและลดลง

“เมื่อปี 2549 ตอนที่เข้ามารับช่วงบริหารกิจการของครอบครัว เชื่อมั้ยครับบริษัทของผมไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์สักเครื่องเดียว” คุณรวิศ เกริ่นให้ฟัง

ก่อนบอก 2 ปีแรกของการทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เขาใช้เวลาในการจัดระเบียบภายในบริษัท เพื่อให้ควบคุมง่าย มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

เริ่มจากการนำซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบบัญชี โกดัง สต๊อกสินค้า ฯลฯ ซึ่งต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับทีมงานค่อนข้างมากทีเดียว

และเมื่อระบบเอกสารเข้าที่เข้าทาง จึงหันมาจับงานด้านการตลาด ซึ่งเขายอมรับ ในระยะแรกไม่ค่อยมีความเข้าใจเท่าไหร่ จึงต้อง “ลองผิดลองถูก” อยู่หลายครั้ง กว่าจะตระหนัก “การตลาด” ไม่ใช่ “การโฆษณา” ที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น

ขณะที่การสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จะต้องอาศัยการสร้างแบรนด์และการพัฒนาช่องทางการขาย เพราะจากการศึกษาพบว่า มีลูกค้าจำนวนมากต้องการซื้อแต่ไม่ทราบจะหาซื้อได้ที่ไหน ข้อมูลดังกล่าวนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหันมาพัฒนาช่องทางการขายควบคู่กับการสร้างแบรนด์

คุณรวิศ บอกต่อว่า สำหรับการสร้างแบรนด์ในแบบของเขานั้น เริ่มจากการหาที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง จนได้ข้อสรุป ชื่อของ “ผงหอมศรีจันทร์” นั้น ยังได้รับความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ ฉะนั้น จึงควรมีการพัฒนาต่อยอดโดยไม่ทิ้งรากฐานเดิม

แต่เพื่อให้สินค้ามีความทันสมัยมากขึ้น จึงทำการปรับภาพลักษณ์ โดยเพิ่มชนิดของบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย จากแบบตลับดั้งเดิมมาเป็นแบบกระป๋องพลาสติกพกพาและแบบซองขนาดเล็ก

จากนั้นจึงทำการรีแบรนด์ โดยยังยึดจุดแข็งของแบรนด์เดิมคือเรื่องของคุณภาพ แต่ปรับปรุงดีไซน์ใหม่ให้รูปลักษณ์ทันสมัย เหมาะกับการใช้งานสำหรับคนรุ่นใหม่มากขึ้น

“ยังคงใช้แบรนด์ ศรีจันทร์ เพราะเป็นตัวตนและเอกลักษณ์ ก่อนหน้านี้หลายคนบอกไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อเหรอ แต่ผมมีความเชื่อถ้าเปลี่ยนชื่อเท่ากับทิ้งตัวตนของเราไป และถ้าวันหนึ่งสามารถทำให้ คำว่า ศรีจันทร์ มันเท่ขึ้นมาได้ สินค้าจะอยู่ตลอดไป

 

ความจริงตั้งชื่อให้เกาหลีๆ ก็ได้ ซึ่งหลายคนก็ทำแบบนั้น แต่ไม่ใช่ทางที่ใช่ เพราะอยากสร้างสินค้าแบรนด์ไทยให้คนไทยภูมิใจที่จะใช้ ถ้าคนชาติเดียวกันยังไม่ยอมใช้ ไม่ต้องไปพูดถึงการส่งออก การสร้างแบรนด์แบบอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ยอมลงทุนในวันนี้เพื่อสร้างของที่ดีในอนาคต เชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญ” คุณรวิศ บอกจริงจัง

เมื่อสร้างความ “แข็งแกร่ง” ในทุกด้านแล้ว คุณรวิศจึงนำพาสินค้าแบรนด์อายุเก่าแก่แต่ลุกส์ทันสมัย เดินเข้าสู่เชลฟ์ในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-ELEVEN ได้อย่างสง่าผ่าเผย ด้วยยอดขายสัปดาห์ละ 40 SKU ไม่เคยตก และขยายเข้าไปสู่โมเดิร์นเทรดอื่นๆ ต่อไป

ทั้งนี้ เขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานกับห้างโมเดิร์นเทรดให้ฟังด้วยว่า เจ้าของสินค้าต้องมี “หลังบ้าน” ที่ดี ต้องรู้จักและทำให้ได้ตามที่ผู้จำหน่ายต้องการ เพราะแต่ละเจ้ามีการแพ็กสินค้าไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ ยังต้องพร้อมให้ตรวจสอบได้ทุกเมื่อ เพราะโมเดิร์นเทรดจะมีการสุ่มตรวจการผลิตการทำงานของผู้ผลิตโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หากพลาดนิดเดียว อาจถูกถอดสินค้าออกทันทีโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวเลย

เมื่อถามถึงเรื่องคู่แข่ง คุณรวิศยิ้มบางๆ ก่อนบอก ตลาดนี้มีการแข่งขันกันสูง ส่วนคู่แข่งเป็นสิ่งควบคุมได้น้อยมาก ฉะนั้น ต้องแข่งกับตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้ากังวลกับคู่แข่งมากเกินไป อาจทำให้มองไม่เห็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ

หลังทุ่มเทความรู้ความสามารถมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยอดขายของบริษัทแห่งนี้ เพิ่มเป็น 10 เท่าจากวันแรกที่คุณรวิศเข้ามารับช่วงต่อ

ทายาทรุ่นที่ 3 ของกิจการนี้ ยังมีเป้าหมายใหญ่ต้องการพลิกธุรกิจครอบครัวให้เป็นธุรกิจมืออาชีพ โดยมุ่งมั่นจะพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายในปี 2563