ติดปีก”เอสเอ็มอีไทย”เฟสแรกสำเร็จ ตั้งเป้าอีก 2 แสนราย เติบโตไปด้วยกัน

คุณสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (SME Start Up) มาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยคัดเลือกผู้สมัครเพื่อฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการยกระดับทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญให้ผู้ประกอบการกว่า 30,000 ราย ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดจนผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อย วิสาหกิจชุมชนระดับฐานรากที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรถึง 70% ช่วยยกระดับภาคการผลิตไปสู่เกษตรแปรรูปที่มีคุณภาพมาตรฐาน ผ่าน 6 พื้นที่ดำเนินการ คือ ภาคเหนือตอนบน 11 จังหวัด ภาคเหนือตอนล่าง 7 จังหวัด  ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 25 จังหวัด ภาคอีสานตอนบน 12 จังหวัด ภาคอีสานตอนล่าง 8 จังหวัด และภาคใต้ 14 จังหวัด

โดยในแต่ละพื้นที่ดำเนินการ เมื่อผ่านการอบรม จะเฟ้นหาผู้ประกอบการที่มีความพร้อมเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ประเมินศักยภาพธุรกิจในด้านต่างๆ โดยจัดที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาแนะแนวทางการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการดำเนินธุรกิจ ยกระดับการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ลดเวลาดำเนินการ แนะการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างมาตรฐานสินค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการ การวางแผนการตลาดหรือแม้แต่การสร้างแบรนด์

ทั้งนี้จะเป็นการจัดทำแผนธุรกิจทั้งหมดแบบครบวงจร เมื่อผ่านกระบวนการดังกล่าวแล้วจึงจะคัดเลือก           ผู้ประกอบการที่โดดเด่นและมีศักยภาพเชื่อมโยงสถาบันการเงินเพื่อพิจารณาแผนธุรกิจของผู้ประกอบการ และดึงเข้าสู่ระบบภาษี จากความสำเร็จของโครงการดังกล่าว ได้พัฒนาผู้ประกอบการใหม่ที่มีศักยภาพ     เพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตแล้วกว่า 18,000 ราย

ผอ.สสว.

ขณะที่ โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SME Strong/Regular Level) สสว. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการกว่า 10,000 ราย ในกลุ่มที่มีศักยภาพที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี และพร้อมที่จะพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจากภาคการผลิต การค้า และบริการ ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ท่องเที่ยวและโรงแรม ธุรกิจการเกษตรและเกษตรแปรรูป กลุ่มสิ่งทอ แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ กลุ่มชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  และกลุ่ม S-Curve

ซึ่ง สสว. ได้จัดอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การผลิต การตลาด  และให้ความรู้ด้านบัญชีและการเงิน ตามนโยบายมาตรการ Financial Literacy เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญของการทำบัญชีเดียว รวมทั้งให้คำปรึกษาและพัฒนาเชิงลึก ณ สถานประกอบการ เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการให้สูงขึ้น และยกระดับเพื่อให้ได้รับมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล ผ่านการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ในห้องปฏิบัติการ และเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน อย., มอก., ISO, HACCP เป็นต้น ซึ่งความสำเร็จของโครงการดังกล่าว สสว. ได้พัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มศักยภาพแล้วกว่า 3,500 กิจการ

จากความสำเร็จทั้ง 2 โครงการ นับเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใหม่ และผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ติดอาวุธให้ธุรกิจอยู่รอดได้ภายใต้การแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการเพิ่มองค์ความรู้ เสริมทักษะในการประกอบธุรกิจให้สามารถสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพให้ได้มาตรฐาน มีมูลค่าสูง แข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ผลักดันผู้ประกอบการไทยก้าวสู่เวทีสากล

“โครงการนี้นับเป็นก้าวแรกที่เอสเอ็มอีไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้ถูกผลักดันให้เติบโตอย่างถูกทิศทาง โดยที่ไม่ได้ทิ้งกลุ่มวิสาหกิจที่มีขนาดเล็กไว้ข้างหลัง แต่ทั้งหมดเดินหน้าและพัฒนาไปพร้อมกัน ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข โดย สสว.ได้ดำเนินโครงการนี้จนสำเร็จลุล่วงในเฟสแรก เช่นเดียวกับเอสเอ็มอีที่อยู่ในระดับเติบโตที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อแข่งขัน เมื่อประสบความสำเร็จก็เสมือนเป็นต้นแบบในการดำเนินธุรกิจให้ผู้ประกอบการรุ่นหลังไปได้เรียนรู้” คุณสุวรรณชัย กล่าว

นอกจากนี้ สสว. เตรียมเดินหน้าโครงการตามยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มผู้ประกอบการศักยภาพในระบบ ตั้งเป้า 200,000 ราย และบ่มเพาะเชิงลึกอีก 14,500 ราย โดยวางกลยุทธ์การพัฒนาตั้งแต่ระบบนิเวศเอสเอ็มอีที่มีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจ เช่น การจัดตั้งหน่วยงานให้บริการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ครบถ้วน การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมด้านกฎหมาย กฎ ระเบียบ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ทำให้เอสเอ็มอีเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายและเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่การเพิ่มขีดความสามารถเตรียมยกระดับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของเอสเอ็มอี เป็นเครื่องมือเพิ่มศักยภาพที่จะแข่งขันธุรกิจในระดับสากล นับเป็นการเชื่อมโยงบริบทเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกให้เติบโตไปพร้อมกัน