ผู้เขียน | มิสมิลเลียนแนร์ |
---|---|
เผยแพร่ |
สำหรับหลายๆ คน ทุกวันนี้การทำอาชีพเดียวไม่พอแล้ว ต้องมีอาชีพที่ 2 เอาไว้เป็นรายได้เสริม หรือสำรองในยามที่อาชีพแรกอยู่ในภาวะไม่แน่ไม่นอน
เช่นเดียวกับการทำธุรกิจที่จะหวังพึ่งรายได้ทางเดียวก็อาจไม่พอ ควรมองหาลู่ทางเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ได้ 2 เด้ง หรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดี
ในสหรัฐอเมริกา มีไอเดียน่าสนใจจากการทำให้ร้านอาหารที่เปิดขายในช่วงเย็นจนถึงดึก สามารถหารายได้เพิ่มเติมในช่วงกลางวัน โดยปรับให้เป็นพื้นที่สำนักงานร่วมกัน หรือที่เรียกกันว่า โคเวิร์กกิ้งสเปซ (Co-working Space) เป็นการนำแนวคิดแบบเศรษฐกิจแบ่งปันมาใช้ให้เกิดประโยชน์
“นิวยอร์ก ไทม์ส” หยิบยกเรื่องราวของร้านอาหาร “อีลีท คาเฟ่” (Elite Café) ซึ่งใช้เวลาว่างระหว่างวันตั้งแต่ 08.30-17.00 น. ของวันจันทร์-ศุกร์ เปิดให้บรรดาผู้ประกอบการ ฟรีแลนซ์ รวมถึงพนักงานบริษัทที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เข้ามานั่งทำงาน ส่วนเวลาหลังจากนั้นก็ให้บริการในฐานะร้านอาหารตามปกติ
ปัจจุบัน แนวคิดการทำพื้นที่สำนักงานร่วมกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ทั้งที่ต้องการเป็นเจ้านายตัวเอง รวมถึงคนที่รู้สึกว่าสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องนั่งประจำที่โต๊ะทำงาน
นี่ทำให้ธุรกิจให้เช่าโคเวิร์กกิ้งสเปซเกิดขึ้นมากมาย รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ก็พากันปรับโหมดมาเกาะกระแสนี้ ทั้งร้านกาแฟ ยิมออกกำลังกาย ชมรมต่างๆ มาจนถึงร้านอาหาร
อีลีท คาเฟ่ เป็น 1 ใน 25 ร้านอาหารขนาดใหญ่ในนครนิวยอร์กและเมืองซานฟรานซิสโก ที่หันมาเอาดีในการเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซจากการชักชวนของ “สเปเชียส” (Spacious) สตาร์ตอัพที่เห็นโอกาสธุรกิจจากเทรนด์นี้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างใหม่
ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกของ “สเปเชียส” จะเสียค่าใช้จ่ายในการเป็นสมาชิกรายปี ราว 99 ดอลลาร์ ต่อเดือน หรือสมาชิกรายเดือน 129 ดอลลาร์ แลกกับการเข้าใช้บริการในพื้นที่เครือข่ายได้ทุกแห่ง และสเปเชียส มีแผนที่จะขยายให้ได้ถึง 100 แห่งในปีนี้
สเปเชียส มองร้านอาหารเป็นทำเลทองในการทำโคเวิร์กกิ้งสเปซ เพราะมีความพร้อมอยู่แล้ว ไม่ต้องปรับปรุงมาก อย่างส่วนที่เป็นบาร์ก็สามารถทำเป็นโต๊ะสำหรับยืนทำงาน บางโซนก็ปรับเป็นห้องประชุมได้
ไอเดียนี้เป็นโมเดลแบบวิน-วิน เพราะสเปเชียส ก็ทำเงินได้ ส่วนร้านอาหารก็มีรายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง ช่วยให้หายใจได้คล่องขึ้นจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าเช่าที่แสนแพง ค่าจ้างพนักงาน ไหนจะจำนวนลูกค้าช่วงกลางวันที่อาจจะไม่คุ้มกับการเปิดร้าน
“เพรสตัน เปเสก” ผู้ร่วมก่อตั้งสเปเชียส บอกว่า ปัจจุบัน นิยามคำว่า “สำนักงาน” ได้เปลี่ยนไปแล้ว การพูดคุยเรื่องธุรกิจสามารถทำได้ทุกที่ นอกจากนี้ โทรศัพท์มือถือก็ใช้งานได้แทบไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์
แต่การแบ่งปันพื้นที่แบบนี้ก็ต้องมีการจัดการที่ดีเช่นกัน โดยพนักงานของร้านอาหารจะต้องจัดโต๊ะและเก้าอี้ไว้ก่อนปิดร้านตอนกลางคืน สำหรับพร้อมใช้เป็นพื้นที่ออฟฟิศชั่วคราวตอนกลางวัน ส่วนทีมของสเปเชียสก็จะต้องเรียนรู้การจัดโต๊ะและเก้าอี้เพื่อจะส่งต่อพื้นที่คืนให้ร้านอาหาร
นอกเหนือจากการแชร์พื้นที่เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซแล้ว ร้านรวงต่างๆ ยังสามารถดัดแปลงพื้นที่ช่วงเวลาว่างให้เป็นรูปแบบอื่นๆ ได้
บีบีซี นำเสนอเรื่องราวของห้างสรรพสินค้า “John Lewis” ในอังกฤษ ที่ลุกขึ้นมาปรับพื้นที่บางส่วนเป็นอพาร์ตเมนต์ชื่อ “เดอะ เรสซิเดนซ์” (The Residence) ในสาขาถนนอ๊อกซ์ฟอร์ด เมืองลิเวอร์พูล และเคมบริดจ์
ลูกค้าสามารถพาเพื่อนๆ มาลองเสื้อผ้า และช็อปปิ้งสินค้าต่างๆ แบบส่วนตัว รวมถึงดูหนัง รับประทานอาหารค่ำ แม้แต่นอนค้างคืน พร้อมตื่นมารับประทานอาหารมื้อเช้า
นอกจากนี้ John Lewis ยังมีคลาสโยคะและออกกำลังกายบริเวณพื้นที่ชั้นดาดฟ้าของสาขาถนนอ๊อกซ์ฟอร์ดด้วย
การขยับของ John Lewis เกิดขึ้นหลังจากจำนวนนักช็อปเดินเข้าห้างสรรพสินค้าลดลง เพราะคนเหล่านี้หันไปช็อปออนไลน์มากขึ้น ทางห้างจึงต้องหันมานำเสนอ “ประสบการณ์” ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกแตกต่าง รู้สึกอยากออกจากบ้านมาที่ห้าง และใช้เวลาทำกิจกรรมนานขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็อาจจะช่วยดันยอดขายสินค้าตามมา
ที่มาภาพ
https://www.retailgazette.co.uk