ผ้าขาวม้า เปลี่ยนโลก! โอกาสมีเสมอ “อาชีพใหม่” สร้างได้ถ้าใจพร้อม

บังเอิญไปเห็นข่าวชิ้นเล็กๆ เกี่ยวกับศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ “SACICT” ที่มีความคิดจะจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริม “ผ้าขาวม้า” ให้เป็นของที่ระลึกประจำชาติ

โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในปี 2562

เนื่องจากปีนั้นจะมีการจัดงานฝ้ายทอใจ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 12 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรมีอาชีพการทอผ้าฝ้าย เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว

ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการจำหน่ายผ้าฝ้ายศิลปาชีพให้ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย

ผมอ่านแล้วก็เกิดความน่าสนใจ ยิ่งเมื่อฟัง “อัมพวัน พิชาลัย” ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) พูดถึงทิศทางของการจัดงาน ฝ้ายทอใจในปี 2562 โดยเธอบอกว่า SACICT จะยกระดับความเป็นสากลเพื่อต่อยอดความก้าวหน้าของการพัฒนาผ้าขาวม้า-ผ้าฝ้ายไทยในปีหน้าให้เป็นของ ที่ระลึกประจำชาติ

“เพื่อใช้เป็นสิ่งแทนคุณค่าความเป็นสัญลักษณ์ หรือตัวแทนของประเทศไทย สำหรับนักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ทั้งในโอกาสพิเศษ และทุกวาระโอกาสที่พวกเขามีโอกาสมาเยือนประเทศไทย เนื่องจากผ้าขาวม้านำมาพัฒนาแปรรูป ประยุกต์ทำเป็นสิ่งของใช้ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย”

ไม่ว่าจะเป็นหมวก, ที่โพกผม, เสื้อสายเดี่ยว, ผ้าพันคอ, สร้อยคอ, กระเป๋าถือ และอื่นๆ อีกนานัปการ

นอกจากนั้น “อัมพวัน” ยังบอกอีกว่า เราจะรณรงค์ให้ทุกหน่วยงานที่เป็นพันธมิตร นำผืนผ้าและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้ามาใช้แทนกระดาษห่อของขวัญในรูปแบบต่างๆ

“ที่สำคัญ ผ้าขาวม้ายังนำไปตกแต่งห้องพักในโรงแรม, บ้าน ดัดแปลงทำเป็นผ้าปูโต๊ะ, ผ้าปูที่นอน, ผ้าสำหรับเสริมอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกาย แทนผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัว และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน”

เพราะผ้าขาวม้ามีคุณสมบัติในการซับเหงื่อเป็นอย่างดี ทั้งยังมีเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย

ที่สำคัญ ยังเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านแต่บรรพโบราณ เนื่องจากผ้าขาวม้าเป็นผ้าสารพัดประโยชน์สามารถดัดแปลงนำไปใช้กับชีวิตประจำวันของคนไทยได้หลายอย่าง ยิ่งเฉพาะกับผู้ชายไทย

ดังนั้น การที่ SACICT มีแนวคิดเช่นนี้ จึงเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก ทั้งยังทำให้ผมรู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีแก่ผู้สูงอายุ ผู้หญิง และเด็กที่มีความสนใจทอผ้าแถบภาคอีสานของไทยด้วย

เพราะต้องยอมรับความจริงว่าการทอผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้ามัดย้อม และผ้าทอลวดลายโบราณส่วนใหญ่จะอยู่แถบภาคอีสาน ส่วนหนึ่งอาจอยู่ภาคเหนือ หรือภาคกลางบางส่วน แต่เฉพาะผ้าขาวม้าจริงๆ ล้วนมาจากภาคอีสานทั้งสิ้น

จึงทำให้ผมคิดต่อไปว่า เมื่อทาง SACICT ต้องการสนับสนุนผ้าขาวม้าของไทยให้เป็นของที่ระลึกประจำชาติ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี

แม้ผ่านมาเคยมีหลายหน่วยงานให้การสนับสนุนผ้าขาวม้า ด้วยการให้ดีไซเนอร์ชั้นนำของไทยไปออกแบบตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่มแบบร่วมสมัยมาบ้างแล้ว

ทั้งยังเคยให้นายแบบ นางแบบสวมใส่เสื้อผ้าที่มาจากผ้าขาวม้าของไทยไปเดินอวดโฉมบนเวทีระดับนานาชาติ จนกลายเป็นที่ยอมรับสำหรับวงการแฟชั่น

แต่สำหรับครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นอีกนิมิตหมายหนึ่ง ที่ทาง SACICT ประยุกต์การนำผ้าขาวม้าของไทยมาดัดแปลงเป็นของที่ระลึกประจำชาติในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เพียงจะแปลกตาออกไป

หากน่าจะทำให้เกิดการตอบสนองต่อคนที่เคยชินแต่การเป็นผ้าขาวม้า เสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่มอื่นๆ แต่สำหรับครั้งนี้ จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นให้เป็นผ้าห่อของขวัญแทนกระดาษ

รวมถึงการนำไปประกอบเป็นเครื่องประดับต่างๆ จนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกแปลกตา และแปลกใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมาจากองค์ประกอบของผ้าขาวม้าจริงๆ หรือ เพราะดูแทบไม่ออกเลยว่าจะมาจากผ้าขาวม้า

ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

คำตอบง่ายมาก คือ คนไทยมีหัวคิดทันสมัย มีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังประยุกต์ใช้จากสิ่งที่มีอยู่ในอดีตมาผสมปนเปกับสิ่งใหม่ จนกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างน่าตกใจ ไม่เชื่อลองไปเดินดูแถวตลาดนัดจตุจักร ถนนคนเดินตามจังหวัดต่างๆ เรามักจะเจอสินค้าใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่เสมอ ถามว่าเศษวัสดุเหล่านั้น เขานำเข้ามาจากเมืองนอกหรือ ไม่ใช่เลย มาจากธรรมชาติทั้งสิ้น หรือไม่ก็มาจากสิ่งของในพื้นที่

เพียงแต่เขาเติมความช่างคิด ช่างทำ ช่างออกแบบ เข้าไปก็เท่านั้นเอง ที่สุดจึงเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา ทั้งยังเป็นงานแฮนด์เมดที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลกด้วย ใครเห็นก็อยากได้ ใครเห็นก็อยากนำไปขายให้กับลูกค้าในประเทศของเขาได้สวมใส่ และที่สุด งานหัตถกรรมเหล่านี้ จึงถูกพ่อค้าแม่ค้าจากต่างประเทศ สั่งสินค้าจากคนหนุ่มสาวที่มีหัวคิดทันสมัยนำไปขายยังประเทศต่างๆ จนทำให้ผลิตไม่ทันกันทีเดียว นั่นหมายความว่า เม็ดเงินจะสวิงกลับเข้ามาในกระเป๋าสตางค์ของเรามากขึ้นด้วย

เพราะฉะนั้น ใครที่ลังเลว่านับจากกลางปีต่อไปนี้จนถึงปีใหม่ข้างหน้าจะทำอะไรขายดี ลองหันมองจุดแข็งของตัวเอง หันมองคนรอบข้าง แล้วหันมองว่าในหมู่บ้านของเรามีอะไรที่จะนำไปเผยแพร่ และประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสินค้าอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้บ้าง เผื่อบางทีเราอาจเป็นคนหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพอีกด้านก็ได้

เพราะเดี๋ยวนี้ทำงานอาชีพเดียวไม่พอแล้ว ควรมีสองสามอาชีพขึ้นไป ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะบริหารจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร เพราะโอกาสข้างหน้าเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งทุนจากธนาคาร ข้อมูลในการประกอบอาชีพ ฝ่ายส่งเสริมการตลาดจากภาครัฐและเอกชนเทคโนโลยีอันทันสมัย

ที่เหลือขึ้นอยู่กับไอเดียเราแล้วว่า จะนำไปสร้างอาชีพใหม่ๆ ได้อย่างไร โอกาสมีอยู่เสมอ อยู่ที่เราพร้อมหรือยังเท่านั้นเอง

 ก็เหมือนกับ “ผ้าขาวม้า” ที่เราเห็นกันจนชินตา แต่เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปไกลมากแล้วจริงๆ