SME ไทย เปิดตลาดอินเดีย-ไต้หวัน คาดสร้างเม็ดเงินได้กว่า 400 ล้านบาทภายในปีนี้

คุณสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและกลางย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกลุ่ม Strong / Regular  ได้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ  สสว. ได้พาผู้ประกอบการ 20 ราย เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมการงานแสดงสินค้า Ambiente India 2018 ครั้งที่ 5 ณ  ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ Pragati maidan กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย  โดยงานดังกล่าวถือเป็นงานแสดงสินค้าระดับสากล การันตีโดยผู้จัดงานมืออาชีพจาก Messe Frankfurt เป็นงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับของตกแต่งบ้าน และสินค้าค้าสำหรับใช้ในโรงแรม ของขวัญของชำร่วย

ภายในงานนี้ผู้ประกอบการไทย นอกจากได้รับความสนใจจากผู้ซื้ออินเดียแล้ว ยังได้รับความสนใจจากเนปาล อิหร่าน อิตาลี ฮ่องกง เกาหลี และฟินแลนด์ สินค้าที่ได้รับความสนใจมาก คือ สเปรย์แคปซูลน้ำหอมสำหรับกำจัดกลิ่นเหม็นอับชื้น ซึ่งใช้นวัตกรรมในการผลิต และโดนใจกลุ่มโรงแรมในอินเดีย สามารถใช้กับผ้าม่าน ผ้าปูเตียง ผ้าปูโต๊ะ พรม และเครื่องใช้อื่น ๆ ที่มีผ้าเป็นส่วนประกอบ

สำหรับการออกงานครั้งนี้ ผู้ประกอบการได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกลิ่นเฉพาะสำหรับตลาดอินเดียทำให้ตอบโจทย์และได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยมีมูลค่าการค้าที่เกิดขึ้นทันทีภายในงานประมาณ 1 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 1 ปี จะเกิดมูลค่าทางการค้ารวมกันได้ประมาณ 213.14 ล้านบาท

นอกจากนี้  สสว. ยังสนับสนุนสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม นำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร 18 ราย เข้าร่วมงานแสดงสินค้า Food Taipei จัดโดย Taiwan External Trade Development Council (TAITRA) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ กรุงไทเป สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีผู้ร่วมออกบูธ 2 พันกว่าบูธ จากหลายทวีป อาทิ เอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และละตินอเมริกา มีผู้ประกอบการร่วมจัดแสดงสินค้าจำนวน 1,628 ราย จาก 40 ประเทศ มีจำนวนคนเข้าชมงาน 62,358 คน เกิดการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจทั้งหมด 460 คู่ จากนานาประเทศ

โดยการหลังการเจรจาจับคู่ธุรกิจในงานนี้ของผู้ประกอบการไทยทั้ง 18 บริษัท ภายใน 1 ปี คาดว่าจะเกิดมูลค่าการค้ารวมกันได้ 205 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการไทยทั้ง 18 บริษัท สามารถรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายในการต่อยอดทางธุรกิจของตัวเองได้ อีกทั้งยังได้เรียนรู้จากพฤติกรรมการบริโภค การเลือกซื้อ และความต้องการจากคนไต้หวัน นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของไทยให้ได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายในตลาดไต้หวันได้ต่อไปในอนาคต