ปิดเทอมแล้ว! อย่ามัวแต่นั่งก้มหน้า ออกมาสัมผัสธรรมชาติ ที่ “ฟาร์มตาเล็ก”กันมั้ย

ขึ้นชื่อเป็นพ่อคน-แม่คน ร้อยทั้งร้อย ต้องอยากเห็นลูกของตัวเอง เป็นเด็กดี มีคุณภาพ และหากให้ “แอดวานซ์” ไปกว่านั้น คงหวังให้ไปถึงขั้น ไม่เป็นภาระให้กับสังคม ทั้งยังควรช่วยเหลือผู้อื่นได้

แต่จะว่าไป แค่ “อยาก” อย่างเดียว คงไม่พอ คงต้องลงมือก่อร่างสร้างแบบอย่างที่ดีให้บุตรหลาน ได้เรียนรู้และซึมซับ  จนกลายเป็น “จิตสำนึก” ติดตัวของพวกเขาไปจนตลอดด้วย ความปรารถนาดังว่า จึงจะบรรลุผล

“ฟาร์มตาเล็ก อยากเป็นทางเลือกให้กับเด็กที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมือง เดินแต่ห้าง เคร่งเครียดกับการเรียนพิเศษกวดวิชา นั่งหน้าคอมพ์ เล่นเกมอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ได้ออกมาใช้ชีวิตและสัมผัสกับธรรมชาติกันบ้าง คุณเก๋-เปรมฤดี พันธุ์รัตน์ เจ้าของกิจการ Farm de Lek (ฟาร์ม เดอ เล็ก) หรือชื่อภาษาไทย ว่า  “ฟาร์มตาเล็ก” เริ่มต้นบทสนทนา

 

ก่อนย้อนความเป็นมาให้ฟัง  ที่ดินขนาด 44 ไร่ บริเวณคลอง 15 รังสิต-นครนายก ผืนนี้ เป็นของ  “คุณตาเล็ก” คุณตาแท้ๆ ของเธอเอง โดยเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ทำเป็นสวนมะม่วงหลากหลายพันธุ์  สามารถส่งขายได้เป็นตันต่อปี

ก่อนเปลี่ยนไปปลูกไม้เศรษฐกิจ อย่าง สน และ ยูคาลิปตัส แต่โชคไม่ดีถูกไฟไหม้แทบหมด เหลือแต่มะม่วงอยู่บ้าง ที่ดินจึงถูกทิ้งร้างไปนาน เพราะลูก-หลานทุกคนของคุณตาเล็ก ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และไม่สนใจในเรื่องงานเกษตรกันแม้แต่คนเดียว

ซึ่งรวมถึงตัวเธอด้วย โดยก่อนหน้านี้ แต่งงานมีครอบครัว และใช้ชีวิตติดตามสามี เดินทางไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 10 ปี  ประเทศสุดท้ายก่อนย้ายกลับมา คือ ออสเตรเลีย ลูกทั้ง 3 คน ได้ซึมซับการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างมีคุณภาพ เรียบง่าย และใกล้ชิดธรรมชาติ

แต่เมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ทำให้เด็กๆ ถึงกับ “ช็อก” เล็กน้อย กับสภาพแวดล้อมที่ต้องพบเจอ

“พวกเขาต้องนั่งรถไปโรงเรียนวันละชั่วโมง  ชีวิตหมดเวลาไปกับการเดินทาง คุณภาพชีวิตที่เคยได้รับ ลดน้อยลง ไม่มีที่ให้วิ่งเล่นหรือขี่จักรยาน กิจกรรมนอกบ้านมีแต่การเดินห้างสรรพสินค้า” คุณเก๋ ย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มของปัญหา

จนนำมาสู่ความคิด หากยังปล่อยให้ชีวิตอยู่ห่างไกลธรรมชาติและถูก “เมือง” กลืนต่อไปเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อพัฒนาการของลูก

จึงหวนนึกถึงที่ดินของ “คุณตาเล็ก” ที่เคยเป็นสนามเด็กเล่นของเธอในวัยเด็ก แต่ไม่ได้เข้าไปใช้งานเป็นเวลานานแล้ว

สรุปกับตัวเองได้ดังนั้น เลยตัดสินใจเข้าไปพัฒนาที่ดินของบรรพบุรุษ ให้กลับมาเป็นพื้นที่การเกษตร เหมือนเมื่อสมัยก่อน โดยให้ลูกๆ มีส่วนร่วมในการ “สร้างฟาร์ม” ตั้งแต่เริ่มต้น

ระหว่างนั้นมักมีครอบครัวของเพื่อนทั้งคนไทยและต่างชาติ แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนตลอด จนหลายคนชื่นชอบ ที่ได้เห็นเด็กๆ อยู่กับธรรมชาติ อย่างสนุกสนาน เลยแนะให้ทำเป็นธุรกิจ เปิดฟาร์มให้คนภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้ไลฟ์สไตล์แบบนี้บ้าง

พูดคุยถึงตรงนี้ นึกสงสัยความรู้ด้านเกษตรของเธอได้มาจากไหน คุณเก๋ยิ้มกว้าง ก่อนบอกอารมณ์ดี

“จบปริญญาตรีที่เอแบค ปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ เคยศึกษาด้านตกแต่งภายใน และอีกหลายวิชา  แต่ไม่ได้ศึกษามาทางด้านเกษตรเลย”

เมื่อมีความพร้อมจะเปิดให้คนภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้การทำการเกษตร ในแบบ Educational Farm คือ ไม่เน้นขายผลผลิต แต่เป็นฟาร์มที่มีพื้นที่สำหรับการ “เรียนรู้” ในหลายด้าน ทั้งความรู้ด้านเกษตรพื้นฐาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การแบ่งปัน การให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การจัดการขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ “เด็กเมือง” ชั้นประถมศึกษา อายุ 3-12 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่ยังพอ “สอนได้” และเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยมีโอกาสสัมผัสกับชีวิตกลางแจ้งเท่าใดนัก

ช่วงแรกของการแสดงจุดยืนในธุรกิจ คุณเก๋ มักย้ำ กับผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาเรียนรู้ในฟาร์มแห่งนี้ว่า การทำเกษตร ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยากลำบากเสมอไป แต่ที่ผ่านมาหลายคนทิ้งงานด้านเกษตรไป เพราะคิดว่าต้องต่ำต้อย  ตากแดด ตัวดำ

แต่เธอจะแสดงให้เห็นว่าการทำงานเกษตร ไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเหมือนที่ว่ามาก็ได้

อย่างตัวเธอและลูกๆ ก็มักแต่งตัว “เต็ม” ในแบบของตัวเองได้ทุกวัน เพียงแต่เวลาลงมือทำงานขอให้ทำอย่างเต็มที่และจริงจังเท่านั้น

“ช่วงแรกหลายคนเข้าใจว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขณะที่เรามีเป้าหมายเปิดฟาร์มเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กๆ โดยใช้เรื่องของการเกษตรเป็นเครื่องมือหลัก ผู้ปกครองบางราย อาจคาดหวังการบริการในแบบที่ไม่ใช่เรา เลยต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับความคิดให้เข้าใจตรงกันทุกกลุ่ม” คุณเก๋ เล่ายิ้มๆ

เปิดให้บริการเพียงปีเศษ แต่ “ฟีดแบ็ก” จัดว่าถึงขั้น “ถล่มทลาย”  มีเด็กและผู้ปกครอง แวะวียนมาเรียนรู้กันที่ฟาร์มแห่งนี้ จำนวนมาก

แถมทุกวันนี้มีคิวจองเข้ามาเต็มจำนวนรับแล้วล่วงหน้า…หลายเดือน

แต่ถ้ามองในแง่ผลกำไร ที่เป็น “เม็ดเงิน” คุณเก๋ บอก คงอีกหลายสิบปีกว่าจะคืนทุน เพราะทั้งมูลค่าที่ดิน การลงทุนเริ่มต้น การบำรุงรักษา ค่าจ้างแรงงานจำนวนกว่า 20 คน รวมแล้วนับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก คงไม่คุ้มกันเลยหากเทียบกับการคิดราคาค่าจัดในแต่ละกิจกรรม

อย่างไรก็ดี การที่ “ฟาร์มตาเล็ก” ยังอยู่ได้ เพราะมีรายได้จากธุรกิจตัวอื่นมาหนุนอีกทาง

ทุกวันนี้ เธอจึงตั้งใจทำ “มรดกจากคุณตา” ผืนนี้ ให้เป็น “ธุรกิจเพื่อสังคม” ที่พอมีรายได้หล่อเลี้ยงตัวเอง

ส่วน “กำไร” ที่คาดหวัง คือ การปลูกฝังให้ลูกของเธอและเด็กอีกหลายคน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น

“การที่เด็กได้สัมผัสดิน โคลน ต้นไม้ใบหญ้า หรือสัตว์บ้าง  จะช่วยพัฒนาทักษะ สติปัญญา อารมณ์ และความคิด ทำให้มีความอดทน  การได้มาเห็นความแตกต่างของชีวิตคนในเมืองกับชีวิตชาวไร่ชาวสวน ที่ต้องตรากตรำทำงานกลางแดด อาจทำให้พวกเขาเข้าใจและเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัวมากขึ้น  นอกจากนี้ยังอยากให้เด็กๆ เห็นความสำคัญและคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม ที่สามารถพัฒนาไปเป็นทางเลือกอาชีพในอนาคตได้ด้วย” เจ้าของกิจการ “ฟาร์มตาเล็ก” ฝากทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น

เส้นทางไป “ฟาร์มตาเล็ก”

โดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ

เส้นทางที่ 1 – ใช้บริการดอนเมืองโทลล์เวย์ ผ่านดอนเมืองมาลงที่ป้ายลำลูกกา ( ตลาดสี่มุมเมือง ) เข้าถนนรังสิต-นครนายก

เส้นทางที่ 2 – ใช้บริการวงแหวนตะวันออก ผ่านด่านเก็บเงินธัญบุรี ลงที่ป้ายทางออกที่ 2 “นครนายก” เข้าถนนรังสิต-นครนายก บริเวณคลอง 5

เส้นทางที่ 3 – ใช้เส้นทางถนนสายลำลูกกา ถนนสายนี้จะคู่ขนานกับถนนสายรังสิต-องครักษ์ โดยให้มุ่งหน้าไปสายบางน้ำเปรี้ยว จากนั้นสามารถตัดเข้ามาบรรจบกับสายรังสิต-องครักษ์ ได้หลายเส้นทาง ได้แก่ ถนนเชื่อมบริเวณคลอง 7 คลอง 11 คลอง 13 และคลอง 14 ถนนเชื่อมแต่ละคลองอาจจะแคบ แต่ปริมาณรถยนต์ในวันดังกล่าวอาจจะน้อยกว่า ขอให้ใช้ความระมัดระวัง ในการขับรถให้มากขึ้น

หากมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางผ่านสระบุรี พอถึงแยกหินกองเลี้ยวซ้ายใช้เส้นทางสายหินกอง-วิหารแดง (สาย 33) ตัดเข้าถนนสาย 3051 ที่อำเภอบ้านนา จะพาท่านมาบรรจบกับถนนสาย 305 นครนายก-องครักษ์

ถ้ามาจากภาคตะวันออก เดินทางเข้าถนนสาย 314 ที่บางปะกง ถึงตัวเมืองฉะเชิงเทรา เดินทางต่อโดยใช้ถนนสาย 3200 ผ่านอำเภอบางน้ำเปรี้ยว และอำเภอองครักษ์ จ.นครนายก

สำหรับราคาการเข้าร่วมกิจกรรมทั้งวัน เด็ก ราคา 800 บาท (ต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่คิด) ผู้ใหญ่ ราคา 450 บาท และไม่รับลูกค้าวอล์กอิน ต้องจองเข้ามาล่วงหน้าเท่านั้น

ราคานี้รวมค่ากิจกรรมต่างๆ เช่น อาหารกลางวัน อาหารว่าง น้ำดื่ม และน้ำผลไม้ตลอดทั้งวัน (แต่ไม่รวมค่าขี่ม้า กับ ขับรถ ATV)

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ฟาร์มตาเล็ก เลขที่ 43 หมู่ 3 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก 26120 โทรศัพท์  098-463-8223 Facebook/Farm de Lek www.farmdelek.com Line  @farmdelek