ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อปีที่ผ่านมา โพลจากทุกสำนักยกย่องให้เป็น “อีเว้นต์แห่งชาติ” ที่สามารถเรียกรอยยิ้มและสร้างความสุขให้กับคนไทยได้มากเป็นประวัติการณ์
สำหรับการออกมาวิ่งระดมเงินเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในโครงการ “ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” จากสุดเขตแดนใต้ สู่สูงสุดแดนสยาม เริ่มต้นจาก อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ไปสิ้นสุดที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร ภายใต้การนำของ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ร็อกเกอร์หนุ่มชื่อดัง
และต้องยอมรับว่านับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน-25 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้น คนไทยครึ่งค่อนประเทศ ต่างพากันเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทีมงาน “ก้าว” กันตั้งแต่เช้ามืดตลอดระยะเวลา 55 วัน กระทั่งเหมือนจะรู้จักสนิทสนมราวกับเป็นคนในครอบครัว ไล่ไปตั้งแต่ พี่ตูน-น้องก้อย-หมอเมย์-เบลล่า-พี่โด๋-พี่ป๊อก-พี่เอส-พี่เอียด-พี่ซัน ฯลฯ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมากเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเรียบร้อยของโครงการในแต่ละขั้นตอน ว่าสามารถ “ออร์แกไนซ์” งานได้ออกมาดีเยี่ยม เพราะถึงแม้ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อจะมีความอลหม่านบ้างในบางพื้นที่ แต่ไม่มีความวุ่นวายจนทำให้บรรยากาศโดยรวมเสียหายแต่อย่างใด
แถมยังมีเรื่องราวน่าประทับใจชนิด “ซึ้งน้ำตาซึม” หลายต่อหลายช็อต เผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าฝีมือของ “ครีเอทีฟ” นั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เมื่อไล่เรียงมาถึงประเด็นนี้ แน่นอนว่า “สปอตไลต์” ย่อมหันไฟฉายสาดส่องไปที่ เอ็มดีหนุ่มหุ่นสมบูรณ์ วัย 40 แห่ง “เรด แคป ออกาไนเซอร์” เจ้าของสโลแกน “Everything, We can do.” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก้าว” แรกแทบควักเนื้อ
อานิสงส์คนรู้จัก-อีเว้นต์เข้า
แม้จัดว่ากำลัง “เนื้อหอม” ในวงการ ถึงขนาด “งานเข้าตรึม” แต่ ข้าวโอ๊ต-ธีรทัศน์ สังขทัต ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรด แคป ออกาไนเซอร์ จำกัด ผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการโครงการ “ก้าว” ยังกรุณาสละเวลามานั่งคุยกับทีมงาน “เส้นทางเศรษฐี” นานเกือบ 1 ชั่วโมง
สายๆ ของวันนัดหมาย ข้าวโอ๊ต มาในมาดของนักกีฬา ด้วยเสื้อและกางเกงวอร์มสีดำ ตัดกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีสันสดใส
ก่อนจะเข้าเรื่องราวอย่างเป็นทางการ เขาเริ่มด้วยการ “แซวตัวเอง” ทำให้วงสนทนาครึกครื้นขึ้นทันที
“ผมไม่ใช่นักวิ่ง ถ้านักวิ่งไม่ใช่หุ่นอย่างนี้ครับ ผมเป็นคนบริหารจัดการ”
และย้อนประวัติส่วนตัวให้รู้จักกันมากขึ้น พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ จบปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่าง ส่วนใหญ่รับหน้าที่เป็นพิธีกร พอเรียนจบ ได้ไปเป็น “ดีเจ” รายการวิทยุสถานีหนึ่งในจังหวัดชลบุรีอยู่ประมาณ 2 ปี
ช่วงเป็นดีเจ มีสปอนเซอร์รายใหญ่เข้ามาสนับสนุนหลายเจ้า เลยเริ่มรับจัดงาน เพราะสปอนเซอร์ต้องการให้นำสินค้าเข้าไปพูดในรายการวิทยุ หลังจากนั้นไม่นานจึงเริ่มรับจัดบู๊ธให้กับลูกค้าด้วย
“งานสุดท้ายที่ชลบุรี คือ งานลูกเสือโลก ผมทำระบบสถานีวิทยุในงานทั้งหมดเลย พอจบงานเลยเห็นภาพว่าถ้าทำงานขนาดนี้น่าจะเปิดบริษัทเองได้ พอปี 2546 จึงเปิดบริษัท บีซีโอ แมสมีเดีย จำกัด ทำอยู่ 3 ปี จึงเปลี่ยนมาเป็นเรด แคป ออกาไนเซอร์ ด้วยเหตุผลชื่อเก่ายาวไป คนจำยาก” ข้าวโอ๊ต ย้อนถึงจุดเริ่ม
ก่อนเล่าต่อ บริษัทออร์แกไนซ์ของเขา ปัจจุบันมีพนักงานประจำ 10 ชีวิต ส่วนใหญ่ถนัดรับจัดงานแถลงข่าวและจัดคอนเสิร์ตขนาดกลาง ผลงานที่ผ่านมาซึ่งสร้างชื่อเสียงในวงการ น่าจะเป็นงานจดสถิติโลก “กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด” ให้กับโครงการ “ไบค์ ฟอร์ มัม”
ส่วนจุดเริ่มที่ทำให้ได้รู้จักกับ “พี่ตูน” คือ มีโอกาสได้ไปจัดคอนเสิร์ตให้กับเอ็มทีวี ซึ่งผู้จัดได้เชิญ วงบอดี้สแลม มาเล่น นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกัน หลังจากนั้นก็เริ่มพบกันตามงานบ่อยขึ้น จนคุ้นเคยกันดีมาเป็นสิบปีแล้ว
“พี่ตูน รู้ว่าเราทำงานอะไร พอจะทำโครงการก้าวคนละก้าวครั้งแรก เส้นทางกรุงเทพฯ-บางสะพาน เขาเลือกเฉพาะคนสนิทไปช่วยทำ เพราะก้าวปีแรกที่บางสะพานนั้น เป็นโครงการที่อยากได้เงินเข้ามาเพื่อช่วยคนอื่นเยอะๆ ฉะนั้น ต้นทุนต้องน้อยที่สุด งานนั้นเลยทำแบบเข้าเนื้อก็ว่าได้ เป็นเหมือนจิตอาสา ทำด้วยใจ แทบจะไม่ได้ตังค์ แต่รู้สึกว่าเป็นงานที่มีรอยยิ้ม มีความสุข และสนุกมาก” ข้าวโอ๊ต เผยเรื่องราว เมื่อครั้งเข้าไปช่วยงาน “ก้าว” ครั้งแรก
และว่า แม้การเข้าไปช่วยงาน “ก้าว” ครั้งแรก แทบจะต้อง “ควักเนื้อ” แต่ก็ทำให้คนรู้จักบริษัทออร์แกไนซ์ของเขามากขึ้น จากนั้นไม่นานก็มีลูกค้ามาให้ไปช่วยจัดงานอีเว้นต์เพิ่ม ทั้งงานวิ่งและอีเว้นต์อื่นๆ
กรองสตาฟฟ์อย่างดี
เผยเหตุการณ์สุดกดดัน
ไล่มาถึง “ก้าว” ครั้งที่ 2 ที่พี่ตูน กำหนดระยะเวลาในการวิ่ง 55 วัน คือตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 25 ธันวาคม 2560 แต่การเตรียมงานใช้เวลาก่อนหน้ากว่า 8 เดือน คือเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2560 หากจะให้ทำงานแบบ “ควักเนื้อ” อีก ก็คงลำบาก เพราะยังมีลูกน้องอีก 10 ชีวิตที่ต้องดูแล เกี่ยวกับประเด็นนี้ ข้าวโอ๊ต แจงให้ฟังว่า
“คราวนี้เราคิดสตางค์ ในเหตุผลที่จำเป็นและเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจเราเดินต่อไปได้ เพราะต้องเอาคนทั้งออฟฟิศมาช่วยกันทำงาน”
เมื่อถามถึงเนื้องานที่ทางเรด แคป เข้าไปเกี่ยวกับ “ก้าว” นั้นมีอะไรบ้าง ข้าวโอ๊ต บอก เริ่มตั้งแต่เขียน Proposal (แผนงาน) ออกมาครั้งนี้จะทำอะไร วัตถุประสงค์คืออะไร จากนั้นส่งให้ “พี่ตูน” ดูก่อนว่าครอบคลุมแล้วหรือไม่ อย่างไร จากนั้นจึงไปในเรื่องของการลงพื้นที่ดูโรงพยาบาล สำรวจเส้นทางการวิ่งว่าจะไปยังไง ไปตรงไหน วิ่งวันละกี่กิโลเมตร เรื่องของการถ่ายทอดผ่านไลฟ์ เฟซบุ๊ก การสร้างเนื้อหาในเพจด้วย
“การวิ่งก้าวครั้งสองใช้เวลา 55 วัน เป็นเหมือนเกมที่เรากำหนดขึ้นมาเอง เป็นการท้าทายว่า หนึ่ง พี่ตูน มีเวลาแค่นี้ 55 วัน สอง พี่ตูน อยากได้เงิน 700 ล้าน แล้วจะมีวิธีทำสื่อยังไงให้เกิดแรงกระเพื่อม เพราะกลัวว่า คนจะไม่สนใจตลอดทั้ง 55 วัน คือ ตอนแรกสื่ออาจโอเค แต่ช่วงกลางเงียบแล้วจะทำยังไง ปรากฏว่าเกมพลิก โชคดีที่เริ่มต้นติดเลย แล้วก็ติดตลอด” ข้าวโอ๊ต เผยเบื้องหลังความคิด
ก่อนเผยให้ฟัง ทีมงานโครงการ “ก้าว” นั้น มีราว 60 ชีวิต แบ่งเป็นพนักงานประจำของ “เรด แคป” 10 คน ที่เหลือเป็น “สตาฟฟ์” ที่ผ่านการกรองและคัดเลือกมาอย่างดี
“เราต้องกรองคนกันพอสมควร ด้วยเหตุผลที่ว่า งานนี้ต้องมีความรับผิดชอบสูง การต้องมาปลุกหรือเรียกจ้ำจี้จ้ำไชกันนั้นมันไม่ได้ เพราะแทบทุกวันต้องตื่นกันแต่เช้า บางวันตื่นตี 2 ตี 3 บางวันก็ตี 1 นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความซื่อสัตย์ เพราะต้องจับเงินทุกวันจึงต้องมั่นใจในทีมงานว่าจะไม่หยิบ ไม่เอาไปไหน ช่วยกันดู เป็นหูเป็นตา ทุกบาททุกสตางค์ที่เข้ามาแต่ละรอบต้องไปที่รถเงิน ช่วยกันนับ ช่วยกันแกะ ก่อนส่งไปธนาคาร” ข้าวโอ๊ต เล่าให้ฟังอย่างนั้น
ก่อนเผยให้ฟังถึงสถานการณ์ “กดดันที่สุด” ในการทำงานชิ้นสำคัญครั้งนี้ ที่คนฟังยังแอบเครียดตามไปด้วย
“เริ่มต้นวิ่งวันแรกเรามาจบที่สะพานโต๊ะกูแชประมาณทุ่มครึ่ง ซึ่งมันผิดกติกาของทหาร เพราะเขาบอกไว้ว่าทุกอย่างต้องจบภายใน 6 โมงเย็น แต่เรามาถึงทุ่มครึ่ง ก็ยังเฉยๆ เอ๊า คนก็เยอะนี่ แต่ที่ตกใจและตอนนั้นยังเล่าให้ใครฟังไม่ได้ คือ มารู้ทีหลังว่ามีชาวบ้านมาแจ้งทหารว่ามีคนที่ชาวบ้านไม่เคยเห็นหน้า มาถามว่า ‘ตาหนวด’ นี่คือใครมาจากไหน ทำไมมีคนมาถ่ายรูปกันเยอะจัง
ทหาร ก็ถามว่าคนไหนที่มาถาม ชาวบ้านจึงพยายามหาแต่ไม่เจอ ทหารเลยสั่งให้ทีมพวกเรากลับที่ตั้งคือที่พักในเบตง ภายใน 15 นาที ไม่ให้อยู่ตรงนั้นแล้ว ส่วนประชาชนต้องแยกย้ายกลับบ้านด้วย คือเหมือนรู้กันว่า ถ้ามีการถามแบบนี้ อีกสักพักอาจมีเหตุไม่ปกติได้
ช่วงระหว่างทางที่กลับไปนอนที่เบตง ต้องขับรถขึ้นเขาลงห้วยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง รถทุกคันต้องปิดไฟวิ่ง ทุกคนนั่งนิ่งเงียบกันหมด และที่สำคัญ วอ (วิทยุสื่อสาร) ในรถทุกคัน ที่จริงต้องปิด แต่เราได้ยินเสียงวอดังตลอดทาง เป็นวันที่กดดันมาก”
ประทับใจบางสะพาน
ก้าว 3 มี-ไม่มี ต้องติดตาม
สนทนามาถึงตรงนี้ นึกสงสัย การทำงานครั้งนี้กังวลเรื่องอะไรที่สุด ข้าวโอ๊ต ตอบแบบแทบไม่ต้องคิด
“ทุกเรื่องระดมมาหาผมหมด แต่สิ่งที่กังวลสุด คือ ตัวพี่ตูน กลัวพระเอกของเราจะบาดเจ็บ ความจริงแล้วพระเอกของโครงการก้าวมี 3 คนที่ต้องดูแล คือ พี่ป๊อก เซเลบสายวิ่ง ที่เจ็บก็ต้องไป ท้องเสียยังต้องวิ่ง พี่ตูน และ พี่เอส ที่เชิญมาจากสหรัฐอเมริกา 3 คนนี้ ต้องวิ่งเข้าเส้นชัย โดยไม่มีการโกงเส้นทางเด็ดขาด”
หันมาถามถึง “เรื่องราวดีๆ” ที่ประทับใจออร์แกไนเซอร์หนุ่มไฟแรงท่านนี้กันบ้าง เขานึกครู่หนึ่ง ก่อนบอกที่จริงมีหลายเหตุการณ์ที่จำไม่ลืม แต่ถ้าให้นึกตอนนี้ คงเป็นช่วงวิ่งผ่านอำเภอบางสะพาน มีคนทั้งอำเภอออกมาต้อนรับยืนปรบมือสองข้างทาง มีการแต่งเพลงเซอร์ไพรส์ มีพยาบาลมามอบของที่ระลึก
“นอกจากนี้ ก็เป็นช่วงวิ่งผ่านอำเภอหัวหิน ที่ระยะทาง 10 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง แต่ยอดเงินสดที่บริจาคนั้นสูงมาก เป็นเงินสดๆ 7 ล้านบาทที่มาจากคนละสิบบาทยี่สิบบาทนี่แหละครับ” ข้าวโอ๊ต บอกอย่างนั้น
เมื่อถามถึงผลการประเมินหลังจบโครงการ ข้าวโอ๊ต บอก ตัวเงิน นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ทะลุไปกว่าพันล้าน ส่วนนักวิ่งก็ประสบความสำเร็จ ภาพรวมส่วนใหญ่ออกมาดี แต่อาจมีบางส่วนที่ยังต้องมาปรับแก้ไขอยู่บ้าง
ส่วนโครงการ “ก้าว” ครั้งที่ 3 อาจจะมีหรือไม่มี ยังบอกไม่ได้ แต่ถ้ามี คงไม่สเกลใหญ่เท่า “ก้าว 2” แล้ว
“ก้าว 3 น่าจะเกิดขึ้น เพราะพี่ตูนตั้งเป้าหมายไว้ อยากช่วยเหลือทุกโรงพยาบาลในเมืองไทยให้ดีขึ้น แต่จะเป็นช่วงเวลาไหนอาจต้องติดตามกันต่อไปครับ” ข้าวโอ๊ต เผยให้ฟังอย่างนั้น
ก่อนลากลับ ขออีกหนึ่งคำถามสุดท้าย
จบงาน “ก้าว 2” แล้ว ทำให้ค่าตัว “เรด แคป” แพงขึ้นมั้ย
ข้าวโอ๊ตยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกจริงจัง
“ยังเท่าเดิม…ไม่อัพ ครับ”