ส่องชีวิตฟรีแลนซ์ “ผกก.หนังโฆษณา” งานยากที่หลายคน…อยากสัมผัส

แวดวงงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ตำแหน่งบรรณาธิการ คงเป็นความฝันใฝ่ของหลายๆท่าน

ส่วนในกลุ่มคนทำโฆษณา ถ้าพูดถึง “เก้าอี้ผู้กำกับ” อาจไม่มีใครปฏิเสธ…นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในอาชีพ

ช่วงบ่ายของวันทำงานตามปฏิทินของชาวออฟฟิศ แต่เป็นวันว่างของ เดวิด-วรเดช บีแกนเดอร์ ฟรีแลนซ์หนุ่มลูกครึ่งไทย-สวีเดน ในฐานะผู้กำกับหนังโฆษณา ซึ่งพกพาบุคลิกสุภาพอ่อนน้อม มานั่งพูดคุยกันก่อนเวลานัดหมาย

เริ่มต้นบทสนทนา…ด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ตอนเรียนมัธยมฯ ดื้อมาก แทบเรียนไม่จบ จนวันหนึ่งคิดได้ ถ้ายังเป็นคนแบบนี้อยู่ โตขึ้นจะไปทำอะไร ต้องทำงานโรงงานหรือเสิร์ฟอาหาร แค่นั้นเหรอ ขณะที่เชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพพอที่จะเรียนจบปริญญา ความจริงใบปริญญาใม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตขนาดนั้น แต่คิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ คงอยากไปงานรับปริญญาของลูก  ผมเลยตั้งหลักใหม่”

แต่เพราะเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ พอเห็นเพื่อนเคร่งเครียดในการสอบเอ็นทรานซ์ เลยรู้สึกว่าทำไมต้องเครียดขนาดนั้น เขาจึงสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของเอกชนทันทีที่จบม.6 โดยไม่ได้ไปสมัครสอบเอ็นทรานซ์ให้เสียเวลา

เริ่มต้นใช้ชีวิต “เฟรชชี่” ยังไม่มีอะไรหวือหวา กระทั่งขึ้นปี 2 เริ่มได้จับกล้องถ่ายรูป รู้สึกชอบขึ้นเรื่อยๆ  กระทั่งเก็บเงินซื้อกล้องวิดีโอ มาลองเล่น เขียนบทและกำกับเอง โดยเกณฑ์เพื่อนในกลุ่ม มาเป็นตัวแสดง สร้างหนังสั้น เรื่อง “กระตุก”ออกมาเป็นซีรีส์ได้ 8 ตอน อัพโหลดขึ้นยูทูบ ปรากฏมีคนเข้ามาดูนับหมื่น

พอขึ้นปี 3 ได้ทำงานส่งอาจารย์ในวิชาโปรดักชั่น เป็นโฆษณาล้อเลียน เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพยี่ห้อหนึ่ง เสร็จแล้วอัพโหลดขึ้นยูทูบ ปรากฏกระแสตอบรับแรงมาก คนเข้าไปคลิกดูประมาณสองแสนคน มีรายการโทรทัศน์ มาติดต่อขอสัมภาษณ์ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองชอบการคิด ชอบการกำกับ

กระทั่งปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย โชคดีมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโปรดักชั่นเฮาส์ แห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของเป็นเพื่อนกับอาจารย์ในคณะ

และเพราะความเข้าใจที่ว่า ถ้าอยากเป็นผู้กำกับหนัง คงต้องผ่านงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมาก่อน แต่พอได้ไปทำงานจริง เริ่มชักไม่มั่นใจว่าข้อสันนิษฐานของตัวเขานั้นถูกต้องแล้วหรือเปล่า

“หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับครั้งแรกของผม คือ แบกลำโพง แล้วยังมีกฎเวลาออกกองถ่าย คนเป็นผู้ช่วยผู้กำกับห้ามนั่งเด็ดขาด บางงานออกกองถ่ายติดต่อกัน 7-8 วัน ผมไม่ได้นั่งเลยนะ” เดวิด เล่ายิ้มๆ

จากนั้น เดวิดก็ได้ทำงานประจำในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 4 เทอมสุดท้าย เพราะตั้งใจไว้ว่า ถ้าอยากเป็นผู้กำกับ ต้องผ่านงานในตำแหน่งผู้ช่วยไปให้ได้

แม้จะเริ่มต้นจากการแบกลำโพง แต่เขาก็พยายามเริ่มเรียนรู้งานทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหนังโฆษณา ค่อยๆ สะสมความรู้เป็นเวลาปีเศษ กระทั่งตัดสินใจยื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลที่ว่า งานหนัก เงินเดือนน้อย…เกินไป

“ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเงินมากมายอะไร แต่ถ้าใช้งานหนักขนาดนั้น คิดว่าไม่ใช่แล้ว เพราะต้องทำงานจนไม่มีเวลาให้กับใครเลย แต่คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์ดีมั้ย เพราะไม่รู้ว่าลาออกแล้วจะมีงานทำหรือเปล่า” เดวิด บอกความรู้สึก

พอออกจากงานประจำ มาทำฟรีแลนซ์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ  สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ วิ่งหางานเอง แต่อาศัยสมัยเป็นพนักงานประจำ มีโอกาสติดต่อผู้คนในแวดวงหลายฝ่าย จึงมีคนแนะนำงานให้ทำต่อเนื่อง

“ถ้าเปรียบเทียบ หน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณา ในฐานะฟรีแลนซ์กับงานประจำในออฟฟิศแบบมีสังกัด งานหนักพอกัน ใช้เวลาการทำงานไม่ต่างกัน แต่ค่าตอบแทนคุ้มกว่า” ฟรีแลนซ์หนุ่ม เผย

เป็นฟรีแลนซ์ในหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับอยู่ปีกว่า เก็บเงินได้ก้อนใหญ่ (เพราะทำงานแทบไม่มีเวลาใช้เงิน) จนสามารถส่งตัวเองไปศึกษาต่อด้านการกำกับที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

“ไปเรียนที่นิวยอร์ก เพราะแค่รู้สึกว่าน่าไป แต่พอไปจริงๆนี่เหรอนิวยอร์ก ไม่เห็นเหมือนในทีวีเลย  และที่ไปเรียนต่อเมืองนอกไม่ได้อยากวุฒิอะไร แค่อยากเปิดโลก อยากเรียนรู้วิธีคิดของฝรั่ง ว่าเขาไปทางไหนกัน” เดวิด บอกอย่างนั้น ก่อนหัวเราะอารมณ์ดี

ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตามแบบของเด็กไทยที่ไม่ได้คอยแต่แบมือขอเงินพ่อ-แม่ สั่งสมประสบการณ์อยู่ปีกว่า รู้สึกว่าได้เปิดโลกทรรศน์สมความตั้งใจ จนสามารถสร้างผลงานของตัวเอง ในแบบของ Show Real ได้หลากหลายไอเดีย

ปัจจุบัน เดวิดได้เป็นฟรีแลนซ์ นั่งแท่นในตำแหน่งผู้กำกับหนังโฆษณา เรียบร้อยแล้ว  แต่เขาออกตัวไว้ว่า…ไม่ได้เก่งกาจกว่าคนอื่น

“ใจจริงอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่ทั้งชีวิตที่ผ่านมาอยู่กับโฆษณา และไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แค่รู้กระบวนการผลิตหนังโฆษณาเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องทำยังไงบ้าง” เดวิด บอกจริงจัง

ก่อนเล่าให้ฟัง ทำอย่างไรถึงได้งานทำในแบบที่ถนัด ภายในเวลาไม่นาน

“พอกลับมา ผมโทรหาพี่ๆที่เคยทำงานด้วย บอกมีงานอะไรให้ทำบอกผมด้วยนะ ผู้ช่วยผู้กำกับก็ยังทำได้นะครับ”

หลังจากทิ้งเบอร์ไว้ให้บรรดาพี่ๆเพื่อนๆที่เคยร่วมงาน ไม่นาน มีโปรดักชั่นเฮาส์ชั้นนำของเมืองไทย ติดต่อให้ไปเป็นฟรีแลนซ์ นั่งเก้าอี้ผู้กำกับหนังโฆษณาที่ออนแอร์ทางสื่อออนไลน์

ซึ่งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รับงานไปแล้วกว่า 4-5 เรื่อง และแว่วว่ายังมีต่อเนื่องเข้ามาอีกเป็นระยะ

“ก่อนจะเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาสักชิ้น ถ้าเป็นเมืองไทย ลูกค้าซึ่งหมายถึงเจ้าของสินค้าหรือเอเยนซี่ จะขอดูผลงานที่ผ่านมาก่อน เมื่อพอใจแล้วถึงจะเปิดโอกาสให้เราได้ทำงาน” เดวิด อธิบายเส้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้

นึกสงสัย ตั้งใจจะทำงานประจำหรือทำเป็นฟรีแลนซ์ เดวิด บอก ก่อนหน้านี้มีบริษัทสองสามแห่งติดต่อมาให้ไปทำประจำเหมือนกัน แต่ยังไม่ตกลงกัน เพราะข้อเสนอของตัวเขาคือ ขอไม่เข้าออฟฟิศ หรือถ้าจะให้เข้า ขอเข้าตอนมีงานจริงๆ

“คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงมาก ไม่สามารถทิ้งงานได้  แต่ไม่ใช่ให้เข้าออฟฟิศทุกวัน ถ้าต้องให้นั่งในห้องสี่เหลี่ยม คิดงานไม่ได้นะ ผมอึดอัดตั้งแต่ทำงานประจำเป็นผู้ช่วยผู้กำกับแล้ว แต่ตอนนั้นต้องทน” เดวิด เผยความรู้สึก

กระซิบถามถึงค่าตอบแทนในแต่ละจ๊อบ ทราบว่า หลักหลายหมื่น ส่วนจะใช้เวลากี่วันนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับงบในการสร้างหนังโฆษณาแต่ละตัว

ในฐานะที่เคยผ่านทั้งงานประจำและฟรีแลนซ์มาแล้ว เห็นข้อดี-ข้อเสีย อย่างไรบ้าง เจ้าของเรื่องราวคนเดิม บอก  ข้อดีของฟรีแลนซ์ คือ มีความอิสระ ส่วนข้อเสีย คือ ไม่มีความแน่นอน  ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเดือนนี้มีงานแล้วเดือนหน้าจะมีงานมั๊ย

เมื่อถามถึงส่วนสวัสดิการพื้นฐาน อย่างการรักษาตัวยามเจ็บไข้ได้ป่วย เดวิด บอกสั้นๆ ไม่เคยป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล เลยยังไม่เคยคิดวางแผนอะไรรองรับ

เพราะถือคติ…วันนี้ก็คือวันนี้ พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้