ร้านอาหารญี่ปุ่น แห่เปิดในไทย

นับตั้งแต่ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับคนไทยเมื่อปี 2556 ส่งผลให้คนไทยแห่แหนกันไปเที่ยวประเทศนี้กันอย่างคึกคัก ไปแหล่งท่องเที่ยวจุดไหนก็จะเจอคนไทยเต็มไปหมด โดยเมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนแดนซากุระมากสุดในประวัติศาสตร์ ถึง 796,600 คน และคาดว่าปีนี้ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นไปอีก

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้คนไทยจะนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นอันดับต้นๆ แต่ทางญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ขณะเดียวกัน ยังทำการโปรโมตอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายเพื่อให้นักท่องเที่ยวไทยกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ แทนที่จะไปเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงโตเกียว หรือโอซาก้า เท่านั้น ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวโทโฮคุ เว็บไซต์กูรูนาวี่ (www.gnavi.co.jp) และบริษัท เอพอค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันจัดงานมหกรรมอาหารญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ JAPANESE RESTAURANT WEEK IN THAILAND ที่ศูนย์อาหารญี่ปุ่น 88 ฮาจิ-ฮาจิ โชคุโด นิปปอน ชั้น 5 ห้างอิเซตัน เซ็นทรัลเวิลด์ โดยนำเสนอเมนูอาหารพิเศษจากต้นตำรับท้องถิ่นโทโฮคุ (Tohoku) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น

pp1  ผู้บริหารขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวโทโฮคุ เว็บไซต์กูรูนาวี่ และบริษัท เอพอค (ประเทศไทย) จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันในวันแถลงข่าว

ตั้งเป้า 40 ล้านคน ในปี 2563

ในส่วนของงานมหกรรมอาหารญี่ปุ่นครั้งนี้ มีร้านค้าอาหารญี่ปุ่นที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 30 ร้าน ซึ่งกระจายอยู่ในเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยมีรางวัลพิเศษสำหรับผู้รับประทานอาหารในร้านที่ร่วมรายการเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับไทย-ญี่ปุ่น (โทโฮคุ) สำหรับ 1 คู่ (2 ท่าน) รวมถึงของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

คุณนาโอโตชิ โมริ จากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวโทโฮคุ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมีเพิ่มมากขึ้น ในปี 2558 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน และประมาณ 800,000 คนเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 5 ในเอเชีย รองจาก จีน เกาหลี ฮ่องกง และไต้หวันที่ตั้งอยู่ใกล้กับญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยมีร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยในปี 2563 และเพิ่มเป็น 60 ล้านคน ในปี 2573 พร้อมทั้งได้มีการวางแผนผลักดันเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

สำหรับภูมิภาคโทโฮคุ อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วย 6 จังหวัด คือ อาโอโมริ อิวาเตะ มิยางิ อากิตะ ยามางาตะ ฟุกุชิมะ อาหารขึ้นชื่อของภูมิภาคนี้ อาทิ กิวตัง เป็นอาหารญี่ปุ่นที่ทำมาจากลิ้นวัวย่าง ราเมน และเซมเบ้ เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดอิวาเตะ ส่วนแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ

ว่าไปแล้วใช่ว่าญี่ปุ่นจะโหมโปรโมตการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ช่วงไม่กี่ปีมานี้บรรดาเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นต่างก็เข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มขึ้น ถึงขั้นมาตั้งศูนย์สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย (Tokyo SME Support Center) เพื่อให้คำปรึกษาแก่บรรดาผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่ประเทศไทย และก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งสำนักงาน Tokyo Metropolitan Industrial Technology Research Institute สาขากรุงเทพฯ ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ศูนย์บริการกล้วยน้ำไท) ซึ่งเป็นหน่วยงานให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

img_8276

เปิดบริษัทที่ปรึกษาในไทยแห่งแรก

อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ คุณชินโกะ ซาโตะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (เจซีซี) ก็ได้นำคณะผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแนะนำตัว พร้อมหารือประเด็นทางเศรษฐกิจต่างๆ กับ คุณอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของญี่ปุ่น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลไทยออกมาตรการส่งเสริมแรงจูงใจในการลงทุนให้มากกว่าที่ได้รับในขณะนี้

ด้วยความที่นักธุรกิจญี่ปุ่นสนใจเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยมากขึ้น จึงมีบริษัทที่ให้คำปรึกษาเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท เอพอค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งใช่จะรับให้บริการปรึกษาอย่างเดียว แต่บริษัทเองก็ยังเข้ามาทำธุรกิจด้วย ดังที่ คุณนาคนัดด์ ไวยหงส์ ที่ปรึกษาอาวุโส บอกว่า บริษัท เอพอค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานระหว่างพาร์ตเนอร์ฝั่งไทยกับฝั่งญี่ปุ่น การทำเอกสารเกี่ยวกับการเปิดร้าน แนะนำซัพพลายเออร์ ปรึกษาแผนด้านทรัพยากรบุคคล ฯลฯimg_8286

คุณนาคนัดด์ ย้อนเล่าที่มาที่ไปของบริษัทให้ฟังว่า เริ่มจาก คุณทาคาโยชิ โยชิดะ กรรมการผู้จัดการบริษัท และ คุณโนบุยุคิ ซาโต้ ประธานบริษัท เป็นบุคคลที่มีความกว้างขวางในอุตสาหกรรมบริการร้านอาหารญี่ปุ่น ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท epoc Inc. ขึ้นในญี่ปุ่น เพื่อเป็นบริษัทที่ปรึกษาร้านอาหารญี่ปุ่นเฉพาะแห่งแรกในญี่ปุ่น และขยายกิจการเข้ามาในประเทศไทยเป็นจุดหมายแรก โดยมีเป้าที่จะขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไปในเร็วๆ นี้

เขาให้รายละเอียดอีกว่า นอกจากบริษัทจะให้คำปรึกษาทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นที่ต้องการจะลงทุนในธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังดำเนินกิจการ Japan Premium Food Court ในนาม 88 SHOKUDO NIPPON ที่ชั้น 5 อิเซตัน เซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รวบรวมร้านอาหารชื่อดังที่ญี่ปุ่นทั้งหมด 7 ร้าน มาเปิดสาขาแรกที่ประเทศไทยในพรีเมี่ยมฟู้ดคอร์ตดังกล่าว

อีกทั้งยังมีการร่วมงานกับฝ่ายอื่นประสานกับหน่วยงานราชการประจำภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น อาทิ จังหวัดโทโฮคุในงาน JAPANESE RESTAURANT WEEK ที่ผ่านมา เพื่อจัดกิจกรรมโปรโมตทั้งการท่องเที่ยว อาหาร และวัตถุดิบจากภูมิภาคนั้นๆ ของญี่ปุ่น เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยได้รู้จักมากยิ่งขึ้น

 

ชี้แนวโน้มขยายไปอ่อนนุช

คุณนาคนัดด์ ระบุว่า บริเวณร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาลงทุนมากที่สุดปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่แยกอโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ จนไปสิ้นสุดที่แถวเอกมัย แต่ในอนาคตอาจมีแนวโน้มขยายไปที่อ่อนนุชที่มีคนญี่ปุ่นบางส่วนอาศัยอยู่ด้วย

ที่ปรึกษาอาวุโสรายนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ในอดีตนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นนิยมเข้ามาลงทุนในประเภทอุตสาหกรรมหนัก โรงงานการผลิตในประเทศไทย แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้มีแนวโน้มเข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ผมมองว่าเทรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย แม้ปัจจุบันขนาดตลาดค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก จากความนิยมของอาหารญี่ปุ่นของคนไทย ซึ่งปัจจุบันอาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารต่างชาติที่มีตลาดใหญ่ที่สุด และจากคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีแนวโน้มที่จะมีร้านอาหารเฉพาะทางเพิ่มมากขึ้น อาทิ ร้านซูชิ ร้านเทมปุระ ร้านเนื้อย่าง ฯลฯ โดยร้านซูชิปัจจุบันแม้ขนาดตลาดไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบตลาดอื่นๆ แต่เป็นประเภทอาหารที่มีการยอมรับสูงมากจากคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางขึ้นไป”

img_8250

ในฐานะบริษัทที่ให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุนตั้งร้านอาหารในไทย เจ้าตัวถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า

หากนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเรื่องพาร์ตเนอร์ที่ดีนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอนว่าเอกสารและเรื่องกฎหมายก็แตกต่างจากที่ญี่ปุ่น ที่สำคัญ ลักษณะของลูกค้าชาวไทยต่อการบริโภคอาหารญี่ปุ่นก็มีสิ่งที่แตกต่างจากคนญี่ปุ่นเอง รวมทั้งลักษณะของแรงงานและวัฒนธรรมการทำงาน และการเสพสื่อก็แตกต่างจากที่ญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะฉะนั้น หากมีผู้ให้คำปรึกษาในรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละเรื่อง และคอยดูแลอย่างใกล้ชิดก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

สำหรับร้านอาหารที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในประเทศไทยนั้น คุณนาคนัดด์ ให้ความเห็นว่า ส่วนมากเข้าใจว่าปัจจุบันคนไทยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นมากถึงระดับไหน อาหารที่ขายสามารถตอบสนองความเข้าใจนั้นได้ แต่ยังมีความแปลกใหม่ที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง รวมถึงบริการที่ดีเลิศตามมาตรฐานของร้านอาหารญี่ปุ่น

พูดถึงปัญหาอุปสรรคของการเข้ามาทำธุรกิจในบ้านเรานั้น เขาบอกว่า ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนที่ไทยปัญหาที่พบมากคือเรื่องภาษา เนื่องจากบางคนไม่สามารถพูดภาษาอื่นได้นอกจากภาษาญี่ปุ่น บางครั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างชาวไทยและชาวญี่ปุ่นก็อาจก่อให้เกิดปัญหาบ้าง แต่เมื่อปรับกันสักระยะหนึ่งก็สามารถทำงานร่วมกันได้

จากนี้คงต้องติดตามกันว่า จะมีร้านอาหารจากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดในบ้านเราอีกมากน้อยแค่ไหน