ผู้เขียน | เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน |
---|---|
เผยแพร่ |
จากการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ ที่ให้ประชาชนทั้งประเทศ ร่วมถวายความจงรักภักดี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยการปลูกดาวเรือง ให้บานสะพรั่งในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เดือนตุลาคมที่จะถึงนั้น ทำให้ความต้องการเมล็ดดาวเรืองพุ่งสูงขึ้น ถึงขั้นกลายเป็นของหายากไปเลยทีเดียว
“เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ได้อัพเดตสถานการณ์เมล็ดพันธุ์ดาวเรือง กับทาง คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์เวสท์ซีด ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองรายใหญ่เบอร์ต้นๆ ของประเทศ
คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์เวสท์ซีด ประเทศไทย จำกัด
คุณอิสระ เผยว่า ปกติการตลาดเมล็ดดาวเรืองในประเทศไทย ถูกผลิตป้อนตลาดประมาณ 400 กิโลกรัมต่อปี ทั้งนี้ ช่วงตั้งแต่ที่รัฐบาลออกแคมเปญนี้มา ทำให้จนถึงตอนนี้เมล็ดดาวเรืองออกสู่ตลาดมาราว 500 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ และเมล็ดดาวเรือง 100 กิโลกรัมที่เพิ่มมานี้ จะส่งผลให้ ดาวเรืองบานสะพรั่งในช่วงเดือนตุลาคม ราว 600 ล้านดอก
ตัวเลข 600 ล้านดอก มาจากไหน
เมล็ดดาวเรือง 1 กิโลกรัม มีจำนวนเมล็ด 3 แสนเมล็ด
แต่ละเมล็ดขึ้นเป็น 1 ต้น และใน 1 ต้น จะมีออกดอกราว 20 ดอก
ดังนั้น จำนวนเมล็ดดาวเรืองที่พุ่งสูงถึง 100 กิโลกรัม(ในช่วงนำไปเพาะกลางเดือนสิงหาคม เพื่อให้บานในเดือนตุลาคม) ก็จะส่งผลให้มีดอกดาวเรืองบานสะพรั่งราว 600 ล้านดอก (100 x 300,000 x 20 = 600,000,000)
คุณอิสระ บอกว่า ที่คำนวณได้ตัวเลขนี้ เพราะการปลูกดาวเรืองให้ออกดอกในช่วงเวลาใด สามารถคำนวณได้ดังนี้
เพาะกล้า ช่วงวันแม่ 12 สิงหาคม 15 วันงอกเป็นต้นกล้า
ฉะนั้น กล้าดาวเรืองช่วงนี้จะถูกย้ายลงกระถางใหญ่ หรือลงดิน นับไปอีก 40-50 วันเริ่มออกดอก
ดังนั้น ราวกลางเดือนตุลาคม ดาวเรืองเริ่มทยอยออกและบาน อยู่ต่อไปได้อีก 20 วันแบบสวยๆ สภาพดีเยี่ยม
“ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงที่เมล็ดพันธุ์ขาดตลาดมาก เพราะทุกคนต้องการเพาะในช่วงกลางเดือนสิงหาคม แต่ตอนนี้ความต้องการลดลงแล้ว เพราะถึงเพาะเมล็ดช่วงนี้ ก็จะเลยช่วงเดือนตุลาคมไปแล้ว” คุณอิสระ ว่าอย่างนั้น และอธิบาย เพิ่มอีกว่า
“ในประเทศไทย ดาวเรืองปลูกกันสองแบบคือ ดาวเรืองต้น (ดาวเรืองกระถาง) และดาวเรืองตัดดอก สำหรับดาวเรืองตัดดอก จะนำไปทำพวงมาลัย และมีส่งออกไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไปพร้อมกับมะลิ อีกประเภทคือดาวเรืองกระถาง ต้นเตี้ยใช้ในงานพระราชพิธีต่างๆ อยู่ได้นานเกือบ 20 วัน บางคนอาจจะดูแลดี อยู่ได้นานกว่านี้ แต่ละต้นจะทยอยออกดอก จนครบ 20 ดอก ช่วงวันที่ 50 นับแต่ย้ายกล้า จะเป็นช่วงที่ดาวเรืองสวยที่สุด”
แหล่งดาวเรืองตัดดอก มักจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่อายุสั้น เช่น อีสานล่าง โคราช บุรีรัมย์ หรือทางเพชรบุรี แม่สอด จ.ตาก และสุพรรณบุรี
ส่วนดาวเรืองกระถาง อยู่ทางภูเรือ จ.เลย ทำเป็นอาชีพเพาะในถุงดำ โดยมีแหล่งพักต้นไม้ ที่ ปทุมธานีคลอง 16
(ขอบคุณภาพจาก คุณชาญณรงค์ นาหัวนิน)
การซื้อขายเมล็ดดาวเรือง มีทั้งแบบที่เกษตรกรซื้อเป็นเมล็ดไปเพาะกล้าเอง และในรูปแบบบริษัทเพาะเมล็ดจำหน่ายเป็นต้นกล้า ซึ่งมักจะเพาะตามออร์เดอร์ ไม่เพาะไว้รอลูกค้า เพราะหากไม่มีลูกค้ามาซื้อ ต้นกล้านั้นก็จะแกร็น ไม่เติบโตไปอย่างที่ควร และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงสามารถคำนวณปริมาณดอก ที่จะบานสะพรั่งในช่วงเดือนตุลาคม ได้ทั้งประเทศ (คำนวณจากจำนวนเมล็ดที่ออกสู่ตลาด ในช่วงที่จะสามารถเพาะได้ทันบานช่วงเดือนตุลาคม นั่นเอง)
ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์หลักๆ ในประเทศไทยจะมีประมาณ 4-5 ราย ได้แก่ บริษัท อีสต์เวสต์ซีดประเทศไทย, ทองเฉลิม, โฮมซีด เอเอฟเอ็ม และ เจียไต๋
สำหรับราคาจำหน่าย เมล็ดดาวเรืองในอดีต ขายกันราคากิโลกรัมละ 300,000 บาท แต่ระยะหลังเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ดีขึ้น ทำให้ราคาลงมาอยู่ที่ 200,000 บาท/กก. (หรือประมาณเมล็ดละ 70 สตางค์) และเมื่อ 2-3 เดือนี่ผ่ามมา ช่วงที่ความต้องการสูงขึ้น ราคาก็ปรับไปอยู่ที่ราว 270,000 บาท /กก. (หรือเมล็ดละ 90 สตางค์)
ส่วนราคาซองที่ขายในท้องตลาด ซองละ 15 เมล็ด ราคา 27-30 บาท
ทั้งนี้ คุณอิสระ ได้ฝากถึงการดูแลเพาะกล้าดาวเรือง ว่า ถ้าจะให้ดี ควรใช้พีทมอสเพาะในถาด ต้นกล้า ดาวเรืองจะชอบสภาพชื้นๆ ไม่ชอบแฉะ เมื่อครบ 15 วัน ย้ายลงดิน ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 1 ช้อนชา หลังจากติดดอก ใช้ปุ๋ยกลาง (ฟอสฟอรัส) สูง สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 1 ช้อนชา เช่นกัน
กล้าดาวเรือง พร้อมลงดิน (ขอบคุณภาพจาก คุณชาญณรงค์ นาหัวนิน)