พระองค์ภาฯทรงเยี่ยม ร้านก๋วยเตี๋ยวกำลังใจ “ชีวิตใหม่” ของอดีตผู้ต้องขัง

พระองค์ภาฯ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ทรงเยี่ยมร้านก๋วยเตี๋ยวกำลังใจ ของนายวีรภาพ กันแก้ว ที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงดำริให้จัดตั้งโครงการกำลังใจ เพื่อประทานความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ โอกาสในสังคมไทย เนื่องด้วยทรงดำริว่า ทุกคนในสังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขก็ต่อเมื่อรู้จักรักษาสิทธิของตน โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น กระบวนการยุติธรรม เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ทุกคนเคารพสิทธิของผู้อื่น ซึ่งเมื่อกระบวนการยุติธรรมดำเนินไปจนถึงที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลทุกฝ่ายในสังคมก็น่าที่จะได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…อีกครั้งหนึ่ง

โครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

…………

ช่วงใกล้เที่ยงของวันทำงาน  บรรยากาศในร้านก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน  ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลประจำอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ดูคึกคักเป็นพิเศษ มีลูกค้าชายหญิงยืนรออยู่ก่อนเกือบสิบชีวิต

ถัดไปหลังเคาน์เตอร์  ชายวัยสามสิบเศษ ท่าทางทะมัดทะแมง กำลังทำหน้าที่ลวกเส้น อย่างตั้งอกตั้งใจ แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเลยว่า มี “ออร์เดอร์” รออยู่รอบตัว…นานแล้ว

ผ่านไปชั่วเมงกว่า หลังลูกค้าเริ่มซา ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเตานานนับชั่วโมง รีบขอตัวเข้าไปหลังร้าน เพื่อล้างหน้าล้างตา ก่อนจะมานั่งสนทนากันตามนัดหมาย

“สวัสดีครับ ผม นายวีรภาพ กันแก้ว อายุ 38 ปี ชื่อเล่นว่า นนท์ เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวกำลังใจนี้เองครับ”ชายหนุ่มคนเดิม แนะนำตัวเสียงดังฟังชัด ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง

และย้อนความเป็นมาให้รู้จักกันมากขึ้น พื้นเพเป็นคนเชียงราย พ่อแม่ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง มีพี่สาวหนึ่งคน ตัวเขาเป็นน้องคนเล็ก การศึกษาสูงสุดจบม.3 เคยไปต่อสายอาชีพที่กรุงเทพฯ แต่เรียนได้แค่เทอมเดียวโดนไล่ออก เพราะขาดเรียนบ่อย

“จบม.3 จากโรงเรียนขยายโอกาส พอไปเรียนต่อพาณิชย์ เรียนไม่รู้เรื่องเลย เรียนยังไงก็ไม่เข้าใจ พอเป็นอย่างนั้น ความไม่อยากเรียนเกิดขึ้น  ผมไม่ได้เกเร แต่เรียนไม่รู้เรื่องจริงๆ พอไม่อยากไปบ่อยเข้า เลยหนีไปเที่ยวห้างฯ เที่ยวบ้านเพื่อน สุดท้ายโดนไล่ออก พ่อแม่ไม่ว่าอะไร แต่พี่สาวดุ”คุณนนท์ ย้อนความทรงจำ เมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว

ออกจากรั้วโรงเรียนได้พักหนึ่ง จึงไปทำงานกับพ่อในไซต์งานก่อสร้าง รับจ้างในตำแหน่งกรรมการแบกปูน ได้ค่าแรงวันละ 80 บาท ทำอยู่พักใหญ่สุดท้ายจำต้องเลิก เพราะประสบอุบัติเหตุตกตึกจนกระดูกร้าว

“เดี๋ยวขอเรียบเรียงเรื่องราวชีวิตหน่อย  มันก็ไม่นานมากนะ  แต่ผมดูดยาเยอะ สมองเลยไม่ค่อยดี”คุณนนท์ เบรกบทสนทนาด้วยลีลาทีเล่นทีจริง เรียกเสียงหัวเราะได้ชุดใหญ่

ก่อนเล่าต่อ อายุได้ 20 ปี  ไปทำงานในห้างฯแห่งหนึ่ง ช่วยพี่สาวขายของในห้องอาหารพนักงาน จากนั้นมาเป็นแมสเซนเจอร์ ก่อนเลื่อนมาเป็นคนขับรถ ให้ผู้บริหารบริษัทหลายแห่ง มีรายได้พอตัว ชีวิตไม่ลำบาก ส่วนชีวิตครอบครัวเป็นแบบมีๆเลิกๆ ไม่จริงจังกับใครนาน มีลูกหนึ่งคนกับภรรยาคนแรก ที่แต่งงานกันตอนอายุ 19 ปี

กระทั่งปี 2547 รู้สึกอิ่มตัวกับชีวิตลูกจ้างในกรุงเทพฯ เลยมุ่งหน้ากลับบ้านเกิด มองหาอาชีพอิสระทำ  ตั้งใจจะไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว

“ร้านแรกที่ทำเปิดขายในตลาดโต้รุ่ง เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส-ต้มยำ ขายอยู่ครึ่งปี ลูกค้าลดลง

อาจเพราะมีคนขายเหมือนกันหลายเจ้า จึงต้องหาความแตกต่าง เลยเพิ่มเมนูเย็นตาโฟสูตรน้ำซอสเฉพาะตัวเข้าไป ไปทำให้กิจการดีขึ้นกว่าเดิม”คุณนนท์ เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังอย่างนั้น

“ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ 3 ปี แล้วก็หันมาขายยาบ้า”คุณนนท์ ชวนคุยต่อ น้ำเสียงเรียบ  ทำเอาคนฟังนั่งเงียบไปครู่ใหญ่ ทำให้ต้องรีบขยายความ

“ แรกๆไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก กระทั่งเพื่อนคนหนึ่งมายืมตังค์ห้าร้อยบาท เสร็จแล้วเขาก็มาใช้หนี้ แต่คืนเป็นยาบ้า ไม่รู้ทำไงเลยเอาไปขายให้วัยรุ่นในหมู่บ้านได้เงินมาพันหนึ่ง กำไรห้าร้อยบาท คิดว่าเออดีเหมือนกันนะ  ส่วนคนที่ขายให้ก็ถามมีอีกหรือเปล่า ผมก็บอกเดี๋ยวก่อนนะ นั่นคงเป็นจุดเริ่ม จากห้าเม็ดเป็นสิบเม็ด และเมื่อยาบ้าอยู่กับเรา พอไม่ได้ขาย เราก็เสพมันเสียเอง”

ใช้เวลาไม่เท่าไหร่ จากเป็นผู้ค้ารายย่อย ค่อยขยับจากค้าสิบเม็ดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเม็ด   ตอนนั้นไม่ห่วงร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว เพราะมีขายยาบ้ารายได้ดีกว่ามาก

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปัญหาครอบครัวเริ่มตามมา ภรรยาที่อยู่ด้วยเวลานั้นมีอันต้องเลิกรา เขาทิ้งร้านก๋วยเตี๋ยวให้แม่ทำคนเดียว  พอแม่บอกไม่ไหว เลยบอกให้เซ้งไปเลย ไม่ต้องไปขายแล้ว

“ตอนนั้นคิดในใจ ขายยาบ้าเลี้ยงแม่ได้สบายอยู่แล้ว ได้เงินวันละสามสี่พันบาท ไม่ต้องมาเหนื่อย หน้าดำคร่ำเครียด ขายก๋วยเตี๋ยวกว่าจะได้แต่ละชาม”คุณนนท์ ย้อนอดีตแบบเปิดอก

ก่อนเล่าต่อ ขายยาบ้าอยู่สองปี บ้านไม่อยู่ ติดเที่ยวเตร่ ใช้ชีวิตแบบไม่มีอนาคต คบแต่คนในแวดวงคนค้า-คนเสพ เหมือนกัน สุดท้ายถูกตำรวจล่อซื้อ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 นอนโรงพักสองคืน ก่อนถูกส่งตัวขึ้นศาล วันที่ 24 เรือนจำรับตัว  หลังรับสารภาพ ศาลท่านตัดสินให้จำคุก 6 ปี 6 เดือน 15 วัน

“ตอนล่อซื้อมียาบ้า 20 เม็ด พอมาค้นต่อที่บ้านตามหมายค้นพบอีก 30 เม็ด ซึ่งจะว่าไปก็จำนวนไม่มาก แต่ศาลท่านดูเจตนา เป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ”คุณนนท์ อธิบาย ด้วยสีหน้าจริงจัง

ใช้ชีวิตอยู่ในแดนห้า เรือนจำกลางจังหวัดเชียงรายอยู่ประมาณสามปีกับอีกหนึ่งเดือน เหลืออีกราวสิบเดือนจะได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากได้รับการอภัยโทษในวโรกาสสำคัญสองครั้ง  จังหวะนั้นเองเขาจึงยื่นเรื่องขอเข้าร่วมอบรมในโครงการ “กำลังใจ” รุ่นที่ 6  โดยจะได้ย้ายไปอยู่ที่ เรือนจำชั่วคราวดอยราง ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย ไม่ไกลนัก

“แดนห้าที่อยู่ พื้นที่มีนิดเดียว แต่นักโทษอยู่รวมกันเป็นร้อยๆ  ตอนสมัครเข้าร่วมโครงการกำลังใจ คิดอยู่อย่างเดียว อยากออกไปให้พ้นกำแพงสูงนี้ซักที  เพราะเวลาแม่มาเยี่ยมก็เหมือนไม่ได้มา คุยกันเหมือนไม่ได้คุย จับมือกันไม่ได้

หากเข้าร่วมโครงการกำลังใจ รู้มาว่าจะได้ไปอยู่เรือนจำชั่วคราวดอยราง ซึ่งกฎระเบียบไม่เข้มงวดเท่าเรือนจำกลาง ครอบครัวมาเยี่ยมได้บ่อย กินข้าวด้วยกันได้ ผมอยากออกมาแค่นั้นเอง ตอนแรกไม่รู้หรอก ว่าโครงการกำลังใจคืออะไร ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนริคนเริ่ม”คุณนนท์ สารภาพ

สำหรับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ในการเข้าร่วมโครงการกำลังใจนี้ คุณนนท์ บอกเท่าที่พอจำได้ว่า มีเรื่องของศาสตร์พระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การทำบัญชีครัวเรือน การออม ฯลฯ ซึ่งช่วงแรกยอมรับว่ายังไม่ค่อยซึมซับเท่าไหร่ ความคิดที่มีต่อตัวองและคนรอบข้างยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

แต่พอนานวันเข้า เริ่มรู้สึกซาบซึ้งในความพยายามของผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน ที่หยิบยื่นโอกาสให้กับคนคุกติดโทษคดียาเสพติดอย่างเขาให้มีที่ยืนในสังคม  และยิ่งมารู้ว่าพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเป็นผู้ริเริ่มโครงการกำลังใจ ยิ่งทำให้ “ได้คิด”มากขึ้น

“หลังจากได้เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงคิดย้อนไปตอนก่อนถูกจับ ถ้ายอมเหนื่อย ยอมเหงื่อออก แม้จะได้เงินน้อยหน่อย แต่คงไม่ต้องมาติดคุก ไร้อิสรภาพนานกว่าสามปีกว่า เสียเวลาไปมากมายและเริ่มคิดพ้นโทษออกไปอายุเท่าไหร่ แล้วจะไปรับจ้างใครเขาคงไม่ไหวแล้ว เลยคิดว่าถ้าได้ออกไป จะไปขายก๋วยเตี๋ยว เพราะนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้กับวิธีคิดที่ว่า รักอะไร ถนัดอะไร ให้ทำอย่างนั้น”คุณนนท์ บอกน้ำเสียงอารมณ์ดี

และเล่าต่อด้วยสีหน้าภาคภูมิว่า  ก่อนสำเร็จหลักสูตรรุ่น 6 ในโครงการกำลังใจ ตัวเขาและเพื่อนร่วมรุ่นอีกนับร้อยชีวิต ได้เข้าเฝ้าพระองค์ภาฯที่ตำหนักดอยตุง  เขาเป็นหนึ่งในตัวแทนรุ่นที่ได้พูดผ่านไมโครโฟน บอกถึงความตั้งใจหลังพ้นโทษ โดยเขาได้กราบทูลพระองค์ภาฯว่า ออกไปแล้วจะทำมาหากินสุจริต ด้วยการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ อย่างที่ถนัด เพราะคิดว่าในพื้นที่อำเภอแม่จัน เวลานั้นยังไม่มีร้านเย็นตาโฟอร่อยถูกปากเลย

วันที่ 15 ตุลาคม 2559 คือวัน-เดือน-ปี ที่คุณนนท์ จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต เพราะเป็นวันที่เขาได้รับอิสรภาพกลับมาอีกครั้ง แต่การตั้งต้นใหม่ของเขานั้น ก็ใช่จะสวยงามอะไรนัก

“ตอนพ้นโทษออกมา ชีวิตเป็นศูนย์ ไม่มีเงิน  ไม่มีงาน โชคดียังมีบ้านอยู่ มีแม่ คอยให้กำลังใจ และมีพี่สาวคอยช่วยเหลือเรื่องการเงินในการทำร้านก๋วยเตี๋ยว แต่พวกเขาบอกให้ขายตอนกลางวัน ไม่อยากให้ขายตอนกลางคืน เพราะรู้สึกเสี่ยงเกินไป”คุณนนท์ บอกอย่างนั้น

ก่อนเล่าอีกว่า หลังกลับมาอยู่บ้านได้พักหนึ่ง เขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์ภาฯอีกครั้ง ที่โรงแรมเซ็นทารา เชียงราย แต่ช่วงเวลานั้น ร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ อย่างที่เคยทูลพระองค์ไว้ที่ตำหนักดอยตุง ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย เลยรู้สึกกระวนกระวายมาก จึงขอให้พี่สาวช่วยหาทำเลเปิดร้านเป็นการด่วน ปรากฏขายอยู่สามเดือนไปไม่รอด ลูกค้าไม่มี ต้องพับกิจการไปโดยปริยาย

“ยอมรับว่าตอนนั้นท้อมาก เกือบถอดใจไปหางานทำที่กรุงเทพฯแล้ว  แต่ผู้ใหญ่ในโครงการกำลังใจหลายท่านเข้ามาช่วยเหลือ มองหาทำเลใหม่กัน จากนั้นพระองค์ภาฯ ทรงให้พระสหาย คุณปาล์ม คุณเท็น ที่เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวพระนคร  มาช่วยอีกแรง”คุณนนท์ เล่าเสียงสุภาพ

สุดท้ายพระสหายทั้งสองท่าน ได้ช่วยตัดสินใจเลือกทำเล เป็นตึกแถวหนึ่งคูหา อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลอำเภอแม่จัน และเปิดขายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา

และแล้ววันแห่งความปลื้มปิติก็มาถึง เมื่อได้รับแจ้งว่า พระองค์ภาฯจะเสด็จมายังร้านก๋วยเตี๋ยว     ”กำลังใจ” ของเขาในวันที่ 5 พฤษภาคม 2560

“เคยเข้าเฝ้าพระองค์ภาฯสองรอบแล้ว คิดว่าความเกร็งไม่น่าจะมีมาก ห่วงแม่กับพี่สาวมากกว่า แต่ที่ไหนได้พอวันเสด็จมาจริง เห็นพระองค์เดินมาทัก เดี๋ยวนี้อ้วนท้วนสมบูรณ์นะ น้ำตาผมไหลออกมาเอง

จากนั้นมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เพื่อทรงสั่งก๋วยเตี๋ยว พระองค์ภาฯถามร้านนี้มีอะไรอร่อย ผมทูลแนะนำเย็นตาโฟครับ  ท่านทรงสั่ง บะหมี่เย็นตาโฟน้ำและบะหมี่เย็นตาโฟแห้ง บิลที่ท่านสั่ง ผมยังเก็บไว้อยู่เลย ตั้งใจไว้จะไปใส่กรอบติดไว้ที่ร้าน”เจ้าของกิจการฯ เล่าก่อนยิ้มกว้าง

ถึงวันนี้ ร้านก๋วยเตี๋ยว “กำลังใจ” ของชายผู้เคยก้าวพลาด แต่สามารถกลับเนื้อกลับตัว ตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพสุจริต เปิดบริการผู้คนมากหน้าหลายตามาได้สองเดือนแล้ว โดยลูกค้าส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากการบอกกล่าวกันภายในจังหวัดว่าเป็นกิจการของอดีตผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการในพระดำริฯ จึงช่วยกันมาอุดหนุน แต่ด้วยรสชาติและเครื่องประกอบ ที่ใส่ให้กันแบบจุใจ ทำให้มีลูกค้ามาซื้อซ้ำจำนวนหนึ่งแล้ว

“ลูกค้าประจำ เริ่มมีบ้าง ตำรวจยังเคยมาทานกันทั้งโรงพัก  คนที่จับผมก็มา เขาบอกดีแล้วที่กลับตัวได้   ผมพูดกับเขาตอนแรกยอมรับว่าผมชิงชังพวกตำรวจ แต่ตอนนี้รู้สึกว่ายังโชคดีที่ถูกจับก่อน  ไม่งั้นอาจได้รับโทษหนักกว่านี้หรืออาจถูกวิสามัญไปแล้วก็ได้”คุณนนท์ เล่ายิ้มๆ

ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังผ่านการอบรมในโครงการกำลังใจ มาแล้วถึงห้ารุ่น แต่ยังไม่เห็นใครเปิดตัวกับสังคมอย่างกว้างขวางขนาดนี้ แล้วเหตุใดตัวเขา จึงยินดีถ่ายทอดเรื่องในอดีตของตัวเองแบบหมดเปลือก ประเด็นนี้ มีคำตอบจากคุณนนท์ว่า

“อย่างน้อยต้องยอมรับความจริงกับตัวเราก่อน และคนที่โกหกไม่ได้คือคนในหมู่บ้านเรา มีคนอยู่เท่าไหร่ และปากคนประชาสัมพันธ์ได้ดีกว่าสื่อใดๆ ฉะนั้นจะไปปิดทำไม และยิ่งผมได้รับโอกาสที่ดีมากขนาดนี้ ยิ่งไม่ควรจะปิด ควรให้คนรู้เยอะๆว่าคนที่เคยติดคุก คนที่เคยพลาด ยังได้รับโอกาสดีๆ สะท้อนไปสู่คนข้างนอก ให้รู้ว่า อย่าใจแคบ ควรเปิดโอกาสให้กันบ้าง”

หันมาพูดคุยเกี่ยวกับภารกิจประจำวันในร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งนี้กันบ้าง เจ้าของกิจการ สาธยายให้ฟัง ตัวเขาตื่นตีสี่ครึ่งทุกวัน พอตีห้าออกจากบ้าน มาเปิดร้านก่อนและทำน้ำซุปไว้ จากนั้นหกโมงเช้านิดๆจะไปตลาดเพื่อซื้อของ ส่วนลูกน้องสองคนมาถึงร้านตอนเจ็ดโมงครึ่งกับแปดโมงเช้า ทั้งก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง พร้อมขายไม่เกินแปดโมงครึ่ง ซึ่งเขานั้นรับหน้าที่หลักอยู่หน้าหม้อก๋วยเตี๋ยว บางวันอาจมีแม่มาช่วยบ้าง

ถามถึงเมนูขายดี คุณนนท์ บอก เป็นเย็นตาโฟ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ กับก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส และอาหารตามสั่ง เริ่มขายดีด้วยแล้ว

“ของทะเล อย่าง ปลาหมึกสด กุ้ง ซื้อวันต่อวันแต่ไม่เยอะแค่อย่างละหนึ่งร้อยบาทต่อวัน หมดแล้วหมดเลย เลือดหมู ซื้อวันต่อวัน วันละสี่ถุง  วัตถุดิบไหนที่กินพรุ่งนี้แล้วไม่อร่อยจะไม่ใช้ต่อ  แม้เป็นการเพิ่มต้นทุนแต่จำเป็นต้องทำ”เจ้าของร้าน บอกมา

บทสนทนาในวันนั้น ใช้เวลานานเกือบสองชั่วโมง แต่คนให้ข้อมูลยังไม่มีทีท่าเหนื่อยล้า เมื่อถามว่ามีอะไรจะฝากถึงลูกค้าบ้างมั๊ย เขา ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟัน ก่อนบอก

“ถ้าทำช้าหน่อย ขอแค่ใจเย็นๆนะครับ  เดี๋ยวเพิ่มพัดลมตัวใหญ่ให้ อีกตัว ผมว่าผมทำเร็วแล้ว แต่บางครั้งสื่อสารกันผิดๆถูกๆ ทำตามบิลแต่เสิร์ฟผิดโต๊ะบ้าง มาทีหลังได้ก่อนบ้าง ต่อไปลูกค้าอาจเบื่อหน่าย และแม้จะอร่อยถ้าช้ามากผมก็ไม่กินเหมือนกัน  แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ”

ก่อนจบบทสนทนา คุณนนท์ ขอกล่าวถึงผู้มีพระคุณที่ทำให้เขามีวันนี้ ว่า พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ภาฯนั้น คงไม่สามารถกล่าวเป็นคำพูดได้ และถ้าไม่มีแม่กับพี่สาว เขาคงไม่สามารถตั้งต้นใหม่ได้แน่นอน

“ชื่อ ก๋วยเตี๋ยวกำลังใจ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกเสมอว่าผมมาจากไหน ร้านแห่งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จขั้นแรก คือ พระองค์ท่านทรงเมตตาเสด็จมาเยี่ยม แต่ถ้าจะสำเร็จอย่างแท้จริง คือ แม่ของผมจะต้องไม่เหนื่อย ต้องมีรายได้ทำให้แม่อยู่สบาย…ให้ได้”คุณนนท์ ทิ้งท้ายด้วยแววตามุ่งมั่น

….

ท่านใดอยากไปให้กำลังใจหรือลองชิมรสชาติ ร้านก๋วยเตี๋ยว “กำลังใจ”ของนนท์ –วีรภาพ กันแก้ว ขนาดตึกแถวหนึ่งคูหา บรรกาศนั่งสบบายๆนี้ ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ฝั่งตรงข้าม โรงพยาบาลอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

น้ำซุปเดือด พร้อมให้บริการทั้งอาหารตามสั่งและก๋วยเตี๋ยวรสชาติดี ราวแปดโมงครึ่งถึงบ่ายสอง ของวันจันทร์-เสาร์ หยุดพักวันอาทิตย์วันเดียว