“กล้วยทอด-จิ้มนม”ในตำนาน คิวยาวววว ลูกค้าคอยจนเป็นลม!

แม้จะออกตัวก่อนไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์สื่อสักเท่าไหร่ เพราะเข้าใจว่า “กล้วยทอดจิ้มนม” สินค้าที่สร้างรายได้ให้เป็นกอบกำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้อร่อยเลิศเลอไปกว่าเจ้าอื่น เพียงแต่อาจจะขายดีบ้างในบางวาระก็เท่านั้น

แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอด้วยเหตุผล อยากขอนำแง่มุมของ “ความเหน็ดเหนื่อย” ที่กว่าจะฝ่าฟันมาจนถึงวันนี้ มานำเสนอ เผื่อจะเป็นกำลังใจหรือแนวทางให้คนมีอาชีพอิสระทั้งหลาย พิจารณาเป็นแบบอย่างบ้าง

คุณต๊อป-ชัยทัต เถาลิโป้  เจ้าของกิจการ “กล้วยทอดกระทะทอง” จิ้มนม เจ้าดังแห่งเมืองหัวหิน จึงยินดีกรุณาสละเวลาทำมาหากิน มาให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจ เริ่มต้นให้ฟังว่า ความจริงแล้ว “กล้วยทอดจิ้มนมข้นหวาน” นั้น เป็นอาหารว่างของคนท้องถิ่นแถบหัวหินยันปากน้ำปราณ มานานนมแล้ว ไม่ใช่สูตรแปลกที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจากพื้นที่อื่น อย่าง “คนกรุงเทพฯ” คงไม่คุ้นเคย จึงอาจตื่นตาตื่นใจบ้างเป็นธรรมดา

ย้อนถึงที่มาของสินค้าให้เข้าใจตรงกันแล้ว  จึงแนะนำตัวด้วยการเล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆ ว่า ปัจจุบันอายุสามสิบเศษ พื้นเพเป็นคนปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังเรียนจบ ได้ช่วยงานในร้านอาหาร “ครัวแจ๋ว” ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว ตั้งอยู่ริมทะเลปากน้ำปราณ บ้านเกิดของเขานั่นเอง

จากนั้นไม่นาน พบรักกับ คุณเจี๊ยบ-จงกล โตส้ม  จึงพาเข้าบ้านให้มาช่วยกิจการอีกแรงหนึ่ง และคิดขยับขยายอยากขายสินค้าในแบบของตัวเอง เริ่มต้นด้วยการทำน้ำผลไม้ปั่นและผลไม้จาน ขายในร้าน “ครัวแจ๋ว” ซึ่งทำรายได้ดี จนมีเอเย่นต์ขนมหวานแช่แข็ง มาติดต่อขอลงสินค้าเลยตัดสินใจรับไว้จำหน่ายต่อ

ขายดีอยู่พักเดียว เกิดปัญหา “ของขาด” เนื่องจากเอเย่นต์ส่งสินค้าให้ไม่สม่ำเสมอ สองสามีภรรยา จึงตกลงกันทำขนมไทย อย่าง บัวลอยเผือก บัวลอยฟักทอง ออกขายเอง ปรากฏลูกค้าตอบรับดีมาก เลยคิด “แตกไลน์” สินค้า มาเป็นกล้วยทอด-จิ้มนม เนื่องจากเป็นของว่างที่คุณพ่อ-คุณแม่ของคุณต๊อป โปรดปราน ประกอบกับคุณเจี๊ยบ แฟนสาวของเขา มีสูตรกล้วยทอดเป็นต้นทุนอยู่แล้ว

“คุณแม่อยากทานกล้วยทอด เลยลองทำให้ชิม ปรากฏทั้งคุณพ่อ-คุณแม่ แนะนำให้ทำขาย เพราะไหนๆ ทำขนมหวานขายอยู่แล้ว ปรากฏช่วงแรกขายได้แค่วันละ 80 บาท จึงเลิกไปพักหนึ่ง ก่อนกลับมาขายใหม่ คราวนี้มีการปรับปรุงสูตร เพิ่มส่วนผสม พวกถั่ว-งา ลงไปในแป้ง ทำให้รสชาติดีขึ้น” คุณต๊อป ย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้น

ก่อน เล่าต่อว่า การกลับมาขาย “กล้วยทอดจิ้มนม” เป็นครั้งที่ 2 ที่หน้าร้าน “ครัวแจ๋ว” ปากน้ำปราณ เปิดขายทุกวัน เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักคือ ลูกค้าในท้องถิ่น เวลาผ่านไปได้ราว 2 ปีเศษ ความต้องการซื้อมีเพิ่มขึ้นทุกวัน และหลายครั้งมีลูกค้าจากต่างถิ่นไกลๆ อย่าง ชะอำ หัวหิน ขี่จักรยานยนต์มาซื้อ ทำให้เขารู้สึก “อึ้ง” ปน “ประทับใจ” อย่างมาก จนอยากไปเปิดขายที่หัวหิน อีกสาขาหนึ่ง

เมื่อคิดจะขยายสาขาไปหาทำเลขายที่น่าจะดีกว่า จึงลงทุนด้วยเงินสดราว 35,000 บาท ดาวน์รถ “กะป๊อ” เพื่อบรรทุกอุปกรณ์ค้าขายกล้วยทอด เดินทางจากปากน้ำปราณไปยังหัวหิน กินระยะทางไปกลับประมาณ 30 กิโลเมตรทุกวัน

“ตอนแรกไปจอดขายใกล้กับทางรถไฟ เพราะเห็นคนเยอะ แต่ขายทั้งวันได้ 200 บาท โดนหักค่าที่ไป 180 บาท เหลือเงินกลับบ้าน 20 บาท ขายอยู่ประมาณสัปดาห์กว่าๆ คิดว่าไม่ไหวแน่ เลยย้าย” คุณต๊อป เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งนั้น ก่อนวิเคราะห์ ทำเลแรกนี้มีคนสัญจรไปมาเยอะอยู่จริง แต่ไม่มีใครซื้อกล้วยทอดของเขา เพราะจอดรถซื้อไม่ได้

ตระเวนหาทำเลใหม่อยู่ไม่นาน มาพบถนนแนบเคหาสน์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ยังโล่งๆ ไม่มีร้านค้ามากมายเหมือนปัจจุบัน เจ้าของกิจการคนขยันผู้นี้ จึงเล็งพื้นที่ริมถนนใกล้ป่าละเมาะข้างทาง ใช้เป็นที่ตั้งกระทะทอดกล้วยนับแต่นั้นมา

“ตั้งร้านขายกล้วยทอดตรงทำเลนี้มีปัญหากับทางเจ้าหน้าที่เทศกิจบ้าง เพราะแม้จะขายบนฟุตปาธที่ไม่มีคนเดินก็จริง แต่มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ผ่านมามักมีคนถามว่าทำไมไม่ไปเปิดร้านในตึกให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมให้เหตุผลว่าเราโตจากตรงนี้ โตมาจากร้านข้างทาง ก็อยากอยู่ตรงนี้ต่อ” คุณต๊อปว่าอย่างนั้น ก่อนบอก ทุกวันหลังเลิกร้าน ตัวเขา ภรรยา และลูกน้อง จะช่วยกันนำน้ำและผงซักฟอกมาขัดล้างฟุตปาธให้สะอาดอยู่ตลอด

เมื่อได้ทำเลขายที่ดีขึ้น ลูกค้าสามารถจอดรถซื้อได้สะดวก ผนวกกับรสชาติถูกใจ บอกผ่านไปกันแบบ “ปากต่อปาก” ทำให้ความนิยมในกล้วยทอดกระทะทอง-จิ้มนม เจ้านี้ มีเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นั้น เป็นที่รู้กันของคนหัวหินว่า ถนนแนบเคหาสน์ รถมักติดยาวเหยียด เพราะคนมาคอยซื้อกล้วยทอด จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องมาคอยอำนวยความสะดวกให้

สนทนามาถึงตรงนี้แย้มถามถึงเคล็ดลับความอร่อย เขาหยุดคิดครู่ใหญ่ ก่อนบอก คงมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เริ่มตั้งแต่ กล้วยที่ใช้ต้องเป็นกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองที่ “แก่จัด” สุกเองตามธรรมชาติ ไม่ผ่านการบ่มแก๊ส เพราะหากเป็นกล้วยไส้ขาวหรือกล้วยบ่มแก๊ส ทอดไปแล้วกล้วยจะฝาดปาก ไม่หวานอร่อย นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเกี่ยวกับการหมักแป้ง การทอด การตัก การพักกล้วยก่อนหยิบใส่ถุง เป็นต้น

“การกะไฟที่ใช้ในการทอดก็สำคัญ เช่น ไฟแรงไป น้ำมันร้อนไป สีกล้วยอาจเข้มไม่น่าทาน แต่ถ้าไฟอ่อนไป กล้วยสุกยาก สุกช้า อาจพาอมน้ำมันเข้าไปอีก หรือแค่เรื่องง่ายๆ อย่างเวลาตักกล้วยจากกระทะที่ต้องใช้กระชอนตักขึ้นมา แล้วยกไปคว่ำที่พักกล้วย ถ้าไม่รู้เทคนิค สามารถทำให้กล้วยอมน้ำมันได้ ฉะนั้น เวลาตักขึ้นมาไม่ใช่คว่ำเลย ต้องกระจายกล้วยด้วย จะได้ไม่อมน้ำมัน จุดเล็กๆ เหล่านี้แหละ ที่ต้องใส่ใจตลอด” คุณต๊อป เผยเทคนิคส่วนตัว

เมื่อถามถึงการตอบรับจากลูกค้าที่ร่ำลือกันว่า ต้องมีการมา “เข้าคิว” รอกันแทบทุกวัน เจ้าของเรื่องราว ยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบแบบถ่อมตัวว่า อาจเป็นเพราะกระแสจากสื่อด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก่อนหน้าที่จะได้ออกรายการโทรทัศน์ กล้วยทอด-จิ้มนม ของเขาก็เป็นที่นิยมของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งคนหนุ่มสาว นักท่องเที่ยวชาวไทย-ต่างชาติ มีทั้งขับรถเฟอร์รารี่และขี่จักรยานมาซื้อหาไปรับประทานกัน

“เมื่อก่อนใช้เตาทอด 2 เตา ตอนนี้เพิ่มเป็น 3 เตา ก็ยังทอดไม่ค่อยทัน บางวันร้านยังไม่เปิด ลูกค้าทำบัตรคิวกันเองเลย พอผมจอดรถปุ๊บ ไม่ต้องแจกบัตรคิว ลูกค้าเขามีบัตรคิวกันเอง แบบว่ากระทะแรกยังไม่ขึ้น คิวถึงที่ร้อยกว่าแล้ว” คุณต๊อบ เล่าให้ฟัง ก่อนบอก เมื่อไม่นานมานี้ มีลูกค้าร้านที่หัวหินถึงกับเป็นลมล้มพับ อาจด้วยเพราะอากาศร้อนประกอบกับต้องยืนคอยซื้อนานกว่า 2 ชั่วโมง

 

“ทอดกล้วยกระทะหนึ่งใช้เวลาทอดไม่เกิน 15 นาที แต่พอเอาขึ้นมาแล้วยังหยิบใส่ถุงเลยไม่ได้ ต้องรอให้เย็นลงนิดหนึ่งก่อน ไม่งั้นกล้วยจะนิ่ม และลูกค้าส่วนใหญ่มาซื้อกันคนละหลายสิบถุง ทำให้กว่าจะผ่านแต่ละคิวได้มันนาน ช่วงเทศกาล เลยขึ้นป้ายว่า ให้ซื้อได้แค่ 100 บาท ต่อ 1 คิวต่อคน อาจจะถูกต่อว่าบ้างว่าซื้อยากซื้อเย็น ก็ต้องยอม เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ จะบริการลูกค้าได้ไม่ทั่วถึง” คุณต๊อป บอกอย่างนั้น

นึกสงสัยลูกค้ายืนยังเป็นลม แล้วคนขายที่ต้องยืนทอดหน้าเตาร้อนๆ จะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง คุณต๊อปหัวเราะหึๆ พร้อมอวดร่องรอยบวมปูดที่บริเวณหัวเข่า ก่อนเล่า เพราะยืนทอดกล้วยเป็นเวลานาน พอขยับตัว รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวเข่า และบวมปูดขึ้นมา พอไปตรวจ หมอบอก ลูกสะบ้าหัวเข่าหลุด ต้องหยุดพักรักษาตัว เดินไม่ได้นานเกือบ 2 เดือน

ส่วนคุณเจี๊ยบ ภรรยาสาวของเขา เคยเกิดอาการนิ้วล็อค เพราะคีบกล้วยลงไปชุบแป้ง จำนวนมากและนานเกินไป แต่พอให้หมอฉีดยา กลับมาวันรุ่งขึ้น ทั้งเขาและเธอก็ลุยขายต่อ

“เหนื่อยครับ แต่รายรับคุ้มเหนื่อย ตอนนี้เก็บเงินซื้อรถเก๋งได้แล้ว และกำลังรอซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้าน เป็นสมบัติพวกที่มาจากน้ำพักน้ำแรงกล้วยทอด นั่นแหละครับ” คุณต๊อป บอกพร้อมรอยยิ้มภูมิใจ

ตอนหนึ่งของบทสนทนา คุณต๊อป เล่าว่า หลังจากเปิดร้านขาย “กล้วยทอด-จิ้นนม” รอบสอง ตามสูตรที่ปรับปรุงใหม่ ที่ปากน้ำปราณ ได้ไม่นาน ช่วงที่ลูกค้าเริ่มเข้ามาอุดหนุนกันมากขึ้นนั้น มีคนเข้ามาติดต่อขอซื้อ “สูตร” การทำกล้วยทอด ตามแบบของเขาหลายรายด้วยกัน

ประเดิมรายแรก เป็นคนงานก่อสร้าง ซึ่งเคยเดินมาซื้อรับประทานทุกวัน อยู่มาวันหนึ่ง กำเงินสดมา 20,000 กว่าบาท ก่อนบอกขอซื้อสูตรได้มั้ย จะเอาไปทำขายบ้าง แต่คุณต๊อบไม่ได้คิดจะขายสูตรตั้งแต่แรกจึงไม่ทราบจะขายให้ยังไง

ต่อมาเป็นลูกค้าจากจังหวัดพะเยา คราวนี้หอบเงินสด 1 ล้านบาท พร้อมออกปากขอซื้อสูตร โดยเจรจากับคุณพ่อ-คุณแม่ แต่คุณต๊อบบอกปฏิเสธไป โดยให้เหตุผล ไม่มีความคิดจะขายสูตรให้ใคร

ถัดจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งต่างชาติกับภรรยาคนไทย มาติดต่อขอซื้อสูตร บอกยอมจ่ายให้ราว 2 ล้านบาท เพราะต้องการนำไปขายต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้รับการปฏิเสธเหมือนรายอื่น

กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีตัวแทนบริษัทแห่งหนึ่ง มาติดต่อขอซื้อสูตรกล้วยทอดกระทะทอง-จิ้มนม โดยตั้งราคาไว้ที่ 2,500,000 บาท บอกจะนำไปขยายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ แต่คำตอบสุดท้าย ยังเหมือนเดิม”ซื้อเท่าไหร่ ก็ไม่ขาย”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคุณต๊อป แย้มให้ฟังว่า เร็วๆนี้ เขาตัดสินใจจะขยายธุรกิจกล้วยทอดกระทะทองจิ้มนม ในรูปแบบของแฟรนไชส์แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยืนยันหนักแน่นยังไงก็ไม่ขาย  แต่อาจเพราะมีลูกค้ามานั่งขอสูตร ขอซื้อแฟรนไชส์ ทุกวันเลย เลยเปลี่ยนความคิดว่า แบ่งๆกันทำกินดีกว่า ส่วนรายละอียดการลงทุนจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเวลาศึกษาอีกสักระยะหนึ่งก่อน

ร้านกล้วยทอดกระทะทองจิ้มนม เจี๊ยบ-ต๊อป ปัจุบันมี 3 สาขา สาขาแรก อยู่ที่ ปากน้ำปราณติดกับร้านอาหารครัวแจ๋ว สาขาสอง อยู่ที่หัวหินซอย51 ถนนแนบเคหาดน์ และสาขาสาม อยู่ที่ เขาเต่าบ้านเอื้ออาทร
สนใจโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 083 855-1942 หรือ Facebook/กล้วยทอดกระทะทองจิ้มนม เจี๊ยบ-ต๊อป