จาก “แมสเซ็นเจอร์” ต้นทุนชีวิตติดลบ ขายหมอน 3 ปี สู่เศรษฐีร้อยล้าน

ในเมื่อชีวิตคนเราต้นทุนไม่เท่ากัน ฉะนั้น คนต้นทุนต่ำจึงต้องพยายามสูง เฉกเช่นผู้ชายที่ชื่อ อาร์ท หรือ “คมศานต์ จิวากานนท์” ผู้ผลิตและจำหน่ายหมอนระดับ 6 ดาว แบรนด์ลักชัวรี่ (Luxury) ที่ต้นทุนชีวิตติดลบพ่อแม่แยกทางกัน ไม่เคยเจอหน้าพ่อแท้ๆ นิสัยเกเร การเรียนห่วย เกือบเรียนไม่จบ โตมาเคยถูกไล่ออกจากงาน ติดหญิง เงินเดือนหมดไปกับการเที่ยวเตร่ ชีวิตทุกอย่างแย่ เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เพราะสติทำให้ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

คุณอาร์ท เผยกับเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ว่า ปัจจุบันอายุ 36 ปี จบปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจ เอกการตลาด จากมหาวิทยาลัยทองสุข เป็นลูกคนเดียว ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่แยกทางกัน จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ชีวิตอยู่กับแม่และยาย ตอนเด็กหาค่าขนมด้วยการไปไซต์งานก่อสร้าง เก็บสังกะสี เหล็ก ตะปูไปขาย โตขึ้นมาหน่อย ราว ม.3 หาค่าเทอมด้วยการไปเป็นพนักงานล้างจานตามฟู้ดเซ็นเตอร์ ไปเป็นเด็กปั๊ม จบ ม.3 เลือกเรียนสายอาชีวะด้านการตลาด เรียนไม่เก่ง เคยติดศูนย์ 10 ตัว โดยที่แม่กับยายไม่รู้  กระท่อนกระแท่นมาจนได้รับใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยทองสุข แต่กว่าจะเรียนจบเคยถูกรีไทร์ด้วยซ้ำ

img_5894

หลังจากจบ ป.ตรี คุณอาร์ท เลือกเป็นแมสเซนเจอร์ เพราะเขาคิดว่า อาชีพนี้สามารถเข้า-ออก ได้ทุกองค์กร ไปเห็นออฟฟิศหลายที่ วิ่ง-ส่งเอกสารได้ 1 ปี เริ่มไม่สนุกแล้ว ก็ลาออก

ภายหลังจากทิ้งอาชีพพนักงานส่งเอกสาร คราวนี้ชายหนุ่มไปขายสินเชื่อทางโทรศัพท์ 3 ปี ไม่มีเงินเดือน ได้เพียงค่าคอมมิสชั่น เดือนละ 30,000 – 100,000 บาท ช่วงเวลานี้คุณอาร์ท บอกว่า รายได้ดีมาก แต่รายจ่ายเยอะ เพราะเริ่มซื้อบ้าน ซื้อรถ ประกอบกับติดเที่ยว เงินเดือนเริ่มไม่พอ ลาออกไปขายโฆษณา แต่ทว่าสื่อสิ่งพิมพ์ขายโฆษณายาก หนที่สุดลาออกไปทำงานเป็นเซลส์ที่บริษัทสิ่งทอ ขายเครื่องนอน ผ้าปู รายใหญ่ของประเทศ ตำแหน่งนี้มีโอกาสเข้าบ้านลูกค้าระดับไฮเอนด์

โอกาสที่คุณอาร์ทได้รับ เขาบอกว่า จากการที่ได้เข้าไปบ้านลูกค้าระดับไฮโซบ่อยๆ สังเกตเห็นว่า ที่บ้านคนเหล่านี้มักมีหมอนที่ไม่ได้ใช้งานวางไว้บนหลังตู้ จึงสอบถามและได้คำตอบว่า “ซื้อหมอนมาเยอะ แต่ก็ไม่มีใบไหนดี เหมือนถูกหลอกซื้อ พอมาใช้งานไม่ดีจริง จึงเก็บหมอนเหล่านี้ไว้บนหลังตู้”

img_5832

ชีวิตการเป็นเซลส์เหมือนกำลังจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วคุณอาร์ทก็ถูกไล่ออก ขณะที่ทำงานได้เพียง 3 ปี สาเหตุนั้นมาจากพฤติกรรมความเกเรของเขาล้วนๆ

“ตอนนั้นผมติดเที่ยว ติดผู้หญิง เกเร รายจ่ายเยอะ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ เลยคิดว่าตนเองไม่ควรทำงานประจำ เพราะลำพังเงินเดือนคงไม่พอ ประกอบกับมีเพื่อนมาชวนไปขายหมอนขนห่านเทียม ซึ่งการค้าขายแบบนี้ได้เงินทันที เลยหันมาขายหมอนขนห่านเทียม 2 เดือน”

ดูเหมือนการขายหมอนขนห่านเทียมจะราบรื่น คุณอาร์ท บอกว่า เจอปัญหาอีกแล้ว เพราะลูกค้ามักถามหาหมอนสเปกโรงแรม กลัวว่าหมอนขนห่านเทียม คุณภาพไม่เท่าหมอนโรงแรม ซื้อไปแล้วไม่ดี สุดท้ายก็ต้องนำไปเก็บไว้ในตู้

unnamed-4

จากปัญหาของลูกค้า ทำให้คุณอาร์ทเลิกรับหมอนขนห่านเทียมมาขาย และนำเงินทุนที่ได้จากการขายรถ 8 หมื่นบาท มาเดิมพันทำธุรกิจของตัวเองด้วยการจ้างโรงงานทำหมอนสเปกโรงแรม เน้นใช้วัสดุดีที่สุด แพงที่สุด

“จากประสบการณ์เป็นเซลส์ ผมรู้ว่าลูกค้าไฮเอนด์ชอบหมอนสไตล์โรงแรม ดังนั้นจึงตัดสินใจเดิมพันในชีวิต นำเงินเก็บ มาสร้างแบรนด์หมอนเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Luxury หมอนโรงแรม 6 ดาว เป้าหมายที่ตั้งไว้คือต้องการขายหมอนสไตล์โรงแรมเท่านั้น เน้นความหรูหรา การพักผ่อนสไตล์โรงแรม ไม่ขายหมอนเพื่อสุขภาพหรือหมอนยางพารา”

unnamed-7

สำหรับความพิเศษของหมอนดังกล่าว อยู่ที่เส้นใยที่เลือกใช้ ใช้เส้นใยตระกูลที่มีความละเอียดสูง นั่นคือ เส้นใยไมโครคลิ้ม ผลิตโดยใช้เทคนิคการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น นอนสบาย

ด้านกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ลักชัวรี่ คือ กลุ่มลูกค้าระดับบน หลงใหลการนอนหมอนสไตล์โรงแรม เจ้าของธุรกิจ เผยว่า ขายหมอนครั้งแรกได้ 10 ใบ ถือว่าประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นมาก็ออกบู๊ธซ้ำ ขยายตลาดด้วยการตระเวนออกบู๊ธตามคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วประเทศ เพื่อให้คนเห็นแบรนด์มากขึ้น ระยะเวลาเพียงปีเดียว ธุรกิจกระแสการตอบรับดีมาก สร้างโรงงานเป็นของตัวเอง ราวปี 2557 ใช้ทุนการก่อสร้างถึง 13 ล้านบาท

img_3493-1

อัตราการเติบโตของธุรกิจ เรียกว่า โตแบบก้าวกระโดด ในปี 2556 ยอดขายอยู่ที่ 3 ล้านกว่าบาท ปี 2557 ยอดขายอยู่ที่ 120 ล้านบาท และปี 2558 ยอดขายอยู่ที่ 150 ล้านบาท และในปี 2559 นี้คาดหวังว่าจะมียอดขายถึง 230 ล้านบาท