ร้านเล็กๆ ของวัยรุ่นสร้างตัว “ปอกปั่น” เปิดมา 10 ปี กำไรพีกสุด 80,000 บาท/เดือน

ปอกด้วยประสบการณ์ ปั่นด้วยความตั้งใจ! ร้านเล็กๆ ของวัยรุ่นสร้างตัว “ปอกปั่น” จากวันแรกขายได้หลักร้อย สู่ปัจจุบันเปิดมา 10 ปี กำไรพีกสุด 80,000 บาท/เดือน

คุณอ๋อ-ชลิตา สร้อยทอง และ คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล
คุณอ๋อ-ชลิตา สร้อยทอง และ คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล

หลายคนคงคิดว่าการเปิดร้านน้ำปั่นใครๆ ก็ทำได้ แต่แท้จริงแล้วการจะทำร้านออกมาให้ลูกค้าติดใจและกลับมาซื้อซ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วัตถุดิบที่ใช้ต้องเป็นของดีมีคุณภาพ และต้องใส่ใจในเรื่องของการบริการลูกค้า

ดังเช่น เรื่องราวของ คุณอ๋อ-ชลิตา สร้อยทอง และ คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล เจ้าของร้าน ‘ปอกปั่น’ ที่เปิดมากว่า 10 ปี และเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยทั้งคู่เริ่มต้นจากเงินลงทุน 3,000 บาท สู่ปัจจุบันสามารถสร้างกำไรได้พีกสุดประมาณ 80,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว

ปอกปั่น
ปอกปั่น

จากซาเล้งเร่ขายขนม สู่ร้านน้ำผลไม้ปั่น

“เราอยู่กับครอบครัวที่ค้าขายมากันทั้งคู่ เลยชอบอิสระในการค้าขายมากกว่าทำงานประจำ”

คุณอ๋อ เจ้าของร้าน ‘ปอกปั่น’ เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เธอและแฟนไม่เคยทำงานประจำมาก่อน ทำให้หลังจากเรียนจบจึงคิดอยากจะเริ่มต้นอาชีพที่สามารถสร้างตัวได้เอง โดยเธอนั้นมีแรงบันดาลใจจากครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายอยู่แล้ว 

“เมื่อก่อนขายขนมบนรถซาเล้งวิ่งเร่ไปทั่ว จะจอดขายหน้าโรงงานแถวคลองมะเดื่อ สมุทรสาครเพราะมีโรงงานเยอะ ส่วนแม่ยายกับภรรยาเป็นแม่ครัวที่โรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งทุกวันตอนตี 3 ต้องไปส่งแม่ยายเพื่อหาซื้อ หมู ไก่ ผัก ที่ตลาดเพื่อนำมาทำอาหาร แล้วก็ได้แม่ยายกับภรรยาช่วยสอนการเลือกผลไม้ มะนาว ผัก ไปในตัว นอกจากทำอาหารที่โรงงาน ภรรยาก็เปิดร้านผลไม้ปั่น ชา กาแฟ ชง น้ำผลไม้ปั่นหน้าบ้านที่เช่าอยู่ ส่วนผมเป็นลูกมือคอยเตรียมผลไม้ล้างแล้วก็ปอกไว้ให้พร้อมขาย แล้วก็เริ่มฝึกปั่นน้ำไปด้วย” คุณซันเดย์ กล่าว

ตอนแรกลงทุนน้อยมาก ใช้งบเพียง 3,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเหตุผลที่เลือกขายเป็นน้ำผลไม้ปั่นมาจากการที่ทำเลที่เธอขายมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ วัยทำงาน ที่มักจะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและคุณภาพเป็นหลัก

ปอกปั่น
ปอกปั่น

การคัดสรรวัตถุดิบคือหัวใจสำคัญ

เธอจะเน้นคัดเลือกผลไม้ที่สดใหม่ และต้องเลือกเองกับมือจากตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งสาเหตุที่เลือกที่นี่นั่นก็เพราะว่า ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกและของมีคุณภาพ อีกทั้งเธอมักจะเลือกใช้ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะพร้าว สับปะรด ส้ม ฝรั่ง และแอปเปิ้ล 

“ที่ร้านจะมีการเลือกซื้อวัตถุดิบวันต่อวัน ส่วนใหญ่จะซื้อของช่วงค่ำแล้วเก็บสต๊อกไว้ที่ร้าน แล้วเช้ามืดของอีกวันประมาณตี 4 แฟนก็จะออกมาเปิดร้านเพื่อที่จะขายของ ประมาณ 6 โมงก็จะเปิดร้านได้ตามปกติ”

มะพร้าวปั่น
มะพร้าวปั่น

ปรับตามคำแนะนำลูกค้า

ช่วงแรกที่เปิดร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้านและวัยทำงาน ซึ่งเธอจะมีการปรับปรุงตามคำแนะนำของลูกค้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติหรือการบริการ เช่น หากลูกค้าเจอผลไม้ที่เสียหรือไม่ดี ลูกค้าสามารถนำมาเปลี่ยนได้ จุดนี้จึงทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและกลับมาซื้อซ้ำ

เธอบอกว่า ทางร้านมีการใส่ใจเรื่องของคุณภาพมาเป็นอันดับต้นๆ โดยลูกค้าที่มาซื้อสามารถมั่นใจได้เลยว่าสะอาดปลอดภัยแน่นอน 

“ปัจจุบันลูกค้าทุกคนแทบจะเป็นเหมือนญาติเราไปแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาจะซื้อเราแทบทุกวันเลยจริงๆ ค่ะ แล้วก็ลูกค้ามีการบอกปากต่อปากด้วย ทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น”

เมนูขายดีของร้านคือ ‘มะพร้าวปั่น’ นั่นก็เพราะใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดเลือกมะพร้าวสดใหม่ การควบคุมรสชาติ เช่น ทางร้านจะมีการคัดทั้งน้ำและเนื้อมะพร้าว ถ้าลูกไหนอ่อนหรือแก่ไปจะไม่นำมาใช้ เพราะอาจจะทำให้รสชาติของน้ำมะพร้าวออกมาไม่ได้คุณภาพ

ปัญหาและอุปสรรค

ในช่วงแรกมักจะมียอดขายที่ไม่ได้มากนัก ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะมีลูกค้าประจำ

“ตอนแรกๆ ท้อมาก จำได้ว่าวันแรกขายได้แค่ 700-800 เอง จนอยู่เป็นปีก็เขยิบขึ้นทีละนิด ประมาณ 2 ปีถึงจะมีรายได้ที่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ค่ะ”

อีกหนึ่งอุปสรรคคือราคาผลไม้ที่ปรับพุ่งสูงขึ้น เช่น ราคามะพร้าวที่เคยพีกสุดไปถึงลูกละเกือบ 60 บาท ทำให้เอามาขายต่อยากเนื่องจากต้นทุนสูง ทำให้ช่วงนั้นมีการหยุดขายบางเมนูไปชั่วคราว

“มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่า ‘เราก็ขายดีนะ’ ‘เราก็เหนื่อยนะ’ ทำไมวันนี้เราได้กำไรน้อยจัง ทำไมไม่ได้เท่าที่ควรจะเป็น เพราะปกติเราจะมีการทำบัญชีร้านทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งจะรู้เลยว่าวันนี้จะต้องได้กำไรเท่าไหร่”

หลังจากมีการคำนวณต้นทุนใหม่แล้วเธอก็ต้องขอลูกค้าปรับขึ้นราคาจากปกติ 25-30 บาท เป็นแก้วละ 35-45 บาท

สร้างตัวตนดึงดูดลูกค้า

แม้ร้านจะอยู่ในตลาดภายในหมู่บ้าน แต่เธอก็ต้องมีการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ มีการอัดคลิปแชร์เรื่องราว สอนวิธีการทำความสะอาดผลไม้ลงบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ พร้อมทั้งมีการจัดร้านให้สะดุดตา ด้วยการโชว์ผลไม้ และเครื่องปั่น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ

เธอกล่าวเสริมว่า “การสร้างตัวตนในโลกออนไลน์เป็นเหมือนกับการเปิดโอกาสให้ลูกค้าคนอื่นสามารถเจอร้านเราได้ เพราะส่วนใหญ่ 90% เป็นลูกค้าประจำที่ซื้อเราตลอด แล้วอีกอย่างร้านไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลเปิดมาก แต่ตั้งอยู่ในตลาดที่อยู่ในหมู่บ้านอีกที”

ปัจจุบันร้านปอกปั่นเปิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว ขายได้เฉลี่ยวันละ 200 แก้ว สามารถสร้างกำไรให้เธอเดือนละประมาณ 60,000-80,000 บาท

“ลูกค้ามาสั่งเยอะมากบางคนก็มาซื้อเพื่อไปฝากคนที่บ้าน ซึ่งที่ร้านต้องทำสดใหม่ทุกแก้ว บางทีผลไม้ที่สต๊อกเอาไว้มันหมดก็ต้องทำไปด้วยแล้วก็เตรียมเพิ่มไปด้วย ทำให้ลูกค้าต้องรอคิว แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่ร้านก็นั่งรอ ทำให้เรากดดันตัวเองไม่อยากให้ลูกค้ารอนาน”

การวางแผนทางการเงิน

“ถ้าไม่จดทะเบียน จะไปทำธุรกรรมทางการเงินยากมาก เพราะยิ่งเป็นอาชีพอิสระ ค้าขายจะยิ่งยาก” 

“ตอนนั้นเปิดร้านมาได้ประมาณ 2-3 ปี เราก็เริ่มมีการไปจดทะเบียน เพราะไปคุยกับธนาคาร แล้วเขาแจ้งว่า ถ้าจะให้ดีต้องมีเอกสารตัวนี้นะถึงจะทำธุรกรรมทางการเงินง่ายมากขึ้น ทำให้เรามีการไปจดทะเบียนไว้”

เธอเล่าว่า อาชีพนี้ทำให้ชีวิตในครอบครัวดีขึ้น ตอนเปิดร้านมา 6 ปี เริ่มมีการซื้อรถ ทำให้ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน ต้องมีการวางแผนทางการเงินให้รัดกุมที่สุด

“การเปิดร้านสมัยนี้ไม่ยากแล้วแต่การที่เราจะรักษาคุณภาพให้อยู่คงที่มันยากกว่า แล้วถ้าทำอาชีพค้าขายจะมีเงินหมุนเข้าออกทุกวัน อยากจะให้บริหารจัดการรายรับรายจ่ายต้นทุนกำไรให้ดี เพราะถ้าเราไม่จัดการพื้นฐานการเงินตรงนี้ให้ดี บางทีเราก็อาจจะอยู่ไม่ถึง 9 ปีก็ได้”

คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล
คุณซันเดย์-พัฒนพงศ์ ทังสนิมิตสกุล

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเปิดร้านขายน้ำผลไม้ปั่น

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ดูจากผมก็ได้ เริ่มร้านจากเล็กๆ ไม่มีใครรู้จัก ย้ายมาจากสมุทรสาคร ทุนก็น้อย ที่ทำได้คือ ขยันมากกว่าคนทั่วไป ไม่ยอมแพ้ และต้องฝึกการคำนวณต้นทุน การบริหารเงิน ตอนแรกก็ขายแค่น้ำผลไม้ปั่นอย่างเดียวก็อยู่ไม่ไหว เพราะกว่าจะสร้างฐานลูกค้าได้ต้องใช้เวลาและความอดทน ต้องปรับตัวเองพัฒนาตลอด

ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ แต่พอมีกำไรก้อนแรก 700 บาท ก็ฝันว่าจะมีกำไรมากกว่านี้มีครั้งนั้นจำได้เลยแรกๆ วันนั้นยอดขายแตะ 2,200 บาท ผมตั้งใจว่าจะขายได้วันละ 2,200 บาท ทุกวันก็ขยันหาของมาขาย ตื่นเช้ากว่าที่เคยตื่นมาตั้งร้านรอลูกค้า อยู่ขายทั้งวัน ทุกวันนี้ยอดขายวันละ 10,000 กว่าบาท หักกำไรตกวันละ 3,000 กว่าบาท มันเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้เลยครับ

ที่สำคัญ คือต้องบริหารเงินให้ดีครับ ต้องเป็นระบบ ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รู้ต้นทุนจริงๆ ของผลไม้ หรือต้นทุนจริงๆ ของเราทุกอย่างให้ได้ ยกตัวอย่าง คือต้นทุน Fix ถ้าต่ำได้ก็สบาย

ร้านผมมีต้นทุน Fix ดังนี้ ค่าเช่าร้านตกเดือนละ 500 บาท เช่า 5 ล็อก 2,500 บาท รวมน้ำไฟ ตามมิเตอร์ ตกเดือนละ 3,200 นิดๆ ค่าส่วนกลางหมู่บ้านรวมแล้ว ขายของ 22 วัน แต่คิดแค่ 20 วันเผื่อป่วย มีประกันสุขภาพครบทั้งครอบครัว และมีเงินชดเชยรายวันหากนอนโรงพยาบาล เพราะไม่มีใครแข็งแรงยืนขายได้ตลอดแบบไม่ป่วย

และกฎเหล็กที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดคือ ห้ามใช้เงินกระเป๋ารวม อย่าเล่นหวย อย่าเล่นแชร์ อย่ากู้นอกระบบ เพราะผมเห็นมาเยอะพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นหนี้ก็มาจากพวกนี้ทั้งนั้น

พิกัด : ม.ธนินทร ซ.วิภาวดีรังสิต 35 1/145 กรุงเทพมหานคร 10210

เปิดตั้งแต่ : 06.00-19.30 น. (หยุดทุกวันจันทร์ และวันพฤหัสบดี)

ช่องทางการติดต่อ 

Facebook : ปอกปั่น

TikTok : sundaypokpun